ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เมื่อจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โดยเลือกเรียน ภาษาต่างประเทศ มีโครงการว่าจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่ไอ้การที่เป็นคนไม่รักดี เรียนยังไม่ทัน สิ้นปีก็เปลี่ยนโครงการใหม่ ในที่สุดก็สอบตก
หลังจากได้ใบสุทธิแล้ว ผมก็มุ่งหน้าขึ้นสู่เชียงใหม่ ถิ่นไทยงาม เนื่องจากผมเป็นคนชอบอ่านนวนิยาย เป็นอย่างยิ่ง ทำให้ผมรู้จัก “เสือ กลิ่นสัก” ในร้อยป่า และ “เลิศ แหลมฉาน” จากธาตุกระทิง และก็รู้จักแม่โจ้ สถาบันที่พระเอกทั้งสองได้เข้าเรียน
ถูกแล้วครับ ผมขึ้นเชียงใหม่ เพื่อจะสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อที่แม่โจ้ และก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เที่ยวสงกรานต์เชียงใหม่ เมื่อผมมาถึงครั้งแรก ก็พักที่โรงแรมราชวงศ์ ครั้นอยู่ไปได้ 4-5 วันเงินก็ชักเหลือน้อยลง จึง ได้ไปขอพักอาศัยอยู่ที่วัดสําเภา ซึ่งผมก็ได้อยู่อาศัยจนสอบเสร็จ ทุนค่าใช้จ่ายได้มากทีเดียว เพราะบางมืออาศัยกิน ข้าวกับพระและเณร
เมื่อวิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ เปิดรับสมัคร ผมจึงได้สอบถามพวกรถรับจ้าง ก็ทราบว่ารถที่จะไปแม่โจ้ จอดอยู่ที่ปั้มน้ำมันสามทหารเชิงสะพานนครพิงค์ เมื่อรถวิ่งจะถึงวิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ กระเป๋าก็มาเก็บค่าโดยสาร ผมก็ไม่รู้ว่าราคาเท่าไร ผมให้ใบละ 5 บาทไป แต่เขาทอนมา 3 บาท ผมก็มองหน้า เพราะไม่รู้ว่าจะทําอย่างไร กระเป๋าก็ใจดีรีบเอาเงินให้ผมอีก 1 บาท ผมเพิ่งมารู้เอาภายหลังว่านักศึกษาแม่โจ้เสียค่าโดยสารคนละบาทเดียวตลอดสาย
“แม่โจ้” อยู่ในท้องที่อำเภอสันทราย ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 18 กิโลเมตร ผมคิดว่าแม่โจ้ เป็นหมู่บ้านที่เจริญที่สุด เพราะมีโรงเรียนตั้งแต่ชั้นประถม มัธยม จนกระทั่งถึงวิทยาลัยเกษตรกรรมแม่โจ้ มีสถานที่ราชการก็มาก เช่น สถานกสิกรรม สถานีประมงน้ำจืด สถานียาสูบ สถานีทดลองสวนไร่ นับว่าเป็นหมู่บ้านที่เจริญมาก ไฟฟ้าก็มีใช้ตลอดวันตลอดคืน
จริง ๆ นะครับก้าวแรกที่ผมมาเหยียบแผ่นดินแม่โจ้ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย เพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ มานานแล้ว พอเห็นหน้านักศึกษาแม่โจ้ เข้าอีกยิ่งใจไม่ดี จริงอยู่แม้มีหน้าที่ตาดีแต่มันดูเหี้ยม ๆ ยังไงไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสต่อพวกมาสมัครสอบเช่นผมเป็นอย่างดี ทั้งยังแนะนําอีกว่าที่สมัครอยู่ไหน แถมบางคนยังช่วย เซนต์เป็นผู้ปกครองให้ด้วยก็ยังมี รู้สึกว่าช่างมีน้ำใจต่อผู้สมัครใหม่จริง ๆ เมื่อผมสมัครเสร็จก็กลับมาดูหนังสือเพื่อ เตรียมตัวสอบ
ผมผ่านข้อเขียนไปได้ด้วยดี ที่หนักใจที่สุดคือสอบวิ่ง ผู้ที่สามารถผ่านข้อเขียนต้องวิ่งทางไกลอีก จากสถานีรถไฟเชียงใหม่จนถึงแม่โจ้ ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร ให้เวลา 4 ชั่วโมง ที่ผมหนักใจก็เพราะผมไม่ ได้ซ้อมวิ่งเลย เคยซ้อมวิ่งจากวัดสําเภาไปประตูเชียงใหม่ โดนหมาไล่กัด จึงไม่ได้ซ้อมวิ่งอีก
วันที่สอบวิ่งคนที่ผ่านข้อเขียน ไปพร้อมกันที่สถานีรถไฟเชียงใหม่ เวลา 6.30 น. ก็ออกวิ่งไปทางหนองประทีป ออกซุปเปอร์ไฮเวย์ แล้วก็วิ่งไปตามทางรถยนต์ ก่อนจะวิ่งอาจารย์ได้แจกบัตรเพื่อเอาให้คณะกรรมการ เมื่อถึงจุดที่ทางวิทยาลัยฯ ได้วางไว้ตลอดสองข้างทางจะมีชาวบ้านทั้งหญิงสาว ชายแก่ เด็กอ่อนมีทั้งนั้น และชาวบ้านจะเอาน้ำใส่ถังไว้ บ้างก็ใส่หม้อน้ำไว้ เพื่อให้นักวิ่งจำเป็นดื่ม บางคนก็เอาแตงโมผ่าเป็นชิ้นแล้วตั้งไว้ ใครจะกิน ก็หยิบเอาไปได้ ผลไม้ที่ชาวบ้านเอามาตั้งไว้ให้มีหลายอย่าง นอกจากแตงโมแล้วก็มีส้ม มะม่วง กล้วย หมากฝรั่ง ฯลฯ
เมื่อผมวิ่งเลยที่ว่าการอำเภอสันทรายมาได้นิดหนึ่ง มียายคนหนึ่งอายุประมาณ 50-60 ได้ถือถาดใส่หมาก ฝรั่งไว้เยอะแยะ ปากก็ร้องเชิญให้หยิบหมากฝรั่งได้ไม่ต้องเกรงใจ ผมคว้ามาได้กำมือหนึ่ง ผมวิ่งมาอีกสักครึ่งกิโล เมตรเห็นจะได้รู้สึกละอายใจ เลยวิ่งกลับเอามาคืน ยายไม่ว่าอะไร แถมพูดให้ผมเอาไปอีกก็ยังได้
“เอาไปเถอะหลานของอุ๊ยมีจ๊าดนัก”
“ ขอบคุณมากครับคุณยาย ผมเอาอันเดียวก็พอแล้ว” ผมตอบและยกมือไหว้ แล้วจึงวิ่งต่อไปอีก
ผมวิ่งต่อมาสักพักใหญ่ ตอนนี้ชักจะหมดแรงเสียแล้ว ใจก็เริ่มท้อแท้พอดีเจอแม่ค้า 3-4คน กําลังเดิน ทางสวนมา ผมจึงหยุดวิ่งและถามขึ้น
“อีกไกลมั้ยครับกว่าจะถึงแม่โจ้”
บรรดาแม่ค้ามองดูสารรูปผมแล้วก็หัวเราะ ก่อนที่จะตอบว่า
“บไก๋เลยโก๊งหน้าก็เถิงแล้ว”
ผมจึงกลั้นใจวิ่งต่อไปก็ถึงโค้ง ในใจก็บอกว่าจะถึงเสียที ที่ไหนได้ เมื่อเลยโค้งมาสักพัก จึงได้เห็นหลัก กิโลเมตรที่ 18 เอง ผมเข่าแทบทรุด เลยนั่งพักข้าง ๆ ทาง เมื่อเห็นคนอื่น ๆวิ่งผ่านไป ผ่านไป ผมเกิดมานะขึ้น มาจึงวิ่งบ้างเดินบ้าง ในที่สุดผมวิ่งถึงแม่โจ้เหมือนกัน แต่สบักสบอมและท้อแท้เต็มที่
เมื่อมาถึงแล้วบรรดานักศึกษาแม่โจ้ก็เอาแอมโมเนียมาให้ แนะนำให้พักผ่อนและหาน้ำเย็นมาให้ นับว่าเป็นน้ำใจอันสูงส่งและน่าสรรเสริญยิ่ง ผมเริ่มซึ้งในน้ำใจ “แม่โจ้” ตั้งแต่มาสมัครสอบแล้ว ครั้นได้เห็นน้ำใจของ นักศึกษาแม่โจ้ในตอนนี้อีก ผมจึงมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะเข้าแม่โจ้ให้ได้
หลังจากได้รายงานตัวต่อกรรมการแล้วผมจึงไปหาอาหารรับประทานจากร้านหน้าศาลจ้าวแม่ ผมยังไม่กลับเวียงเพราะในตอนบ่ายจะต้องสอบสัมภาษณ์อีก ผมจึงเดินชมสภาพของวิทยาลัย แต่เดินได้สักครู่ก็เมื่อย จึงยึดเอา ร่มสนหน้าตึกเป็นที่นั่งเล่น
ตอนบ่ายผมนั่งรอเพื่อที่จะสอบสัมภาษณ์ด้วยความตื่นเต้น เพราะมีความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะเข้าแม่โจ้ให้ได้ คนแล้วคนเล่าที่ถูกเรียกไปสอบสัมภาษณ์ ในที่สุดก็ถึงผม ผมเข้าสอบสัมภาษณ์ทั้ง ๆ ที่อยู่ในชุดวิ่ง เพราะไม่มีเสื้อผ้า ที่จะเปลี่ยน เมื่อเข้าห้องสอบสัมภาษณ์ แล้วอาจารย์ผู้สอบสัมภาษณ์ถามชื่อ นามสกุล ประวัติส่วนตัวเล็กน้อย และ ได้ถามผมว่า
“เล่นกีฬาอะไรเป็นบ้าง”
“ผมเล่นโบว์ลิ่งเป็นครับ”
“เฮ้ย ! กีฬาอย่างนั้นไม่เอา ประเภทฟุตบอลล์ และบาสเกตบอลล์ เป็นหรือไม่”
ผมจึงอ้อมแอ้มตอบ “ ไม่เป็นครับ”
อาจารย์ผู้สัมภาษณ์จึงได้ถามต่อไป
“ทําไมถึงมาเข้าแม่โจ้ เกษตรฯ ใกล้ ๆ บ้านก็มี ชื่อเสียงเขาก็ดีทําไมถึงไม่เรียนที่นั่น”
ผมจะตอบแต่ท่านขัดขึ้นเสียก่อน
“และก็ไม่ต้องบอกว่า เพราะรักแม่โจ้ หรือว่าแม่โจ้มีชื่อเสียงมานานเพราะใคร ๆ ก็ตอบอย่างนี้ทั้งนั้น และทุกปีด้วย เบื่อแล้วคําตอบอย่างนั้นนะ ไหนลองตอบคําถามใหม่ ๆ ให้ชื่นใจสักคนเถอะ”
ผมพยายามรวบรวมสมาธิ และสํารวมใจให้เป็นปกติแล้วจึงตัดสินใจตอบ
“การที่ผมมาเรียนแม่โจ้เพราะ แม่โจ้อยู่ไกลบ้านผมมาก สะดวกในการขอเงิน และอีกอย่างหนึ่งคุณพ่อมี ที่ดินมากมาย พี่ผมเรียนไปทางช่าง ผมจึงมาเรียนเกษตร ระหว่างช่างกับ นักเกษตร คุณพ่อมักจะมอบที่ดินให้กับนักเกษตรมากกว่า ที่จะให้กับนายช่าง จริงไหมครับ”
ตอนสุดท้าย ผมได้ถามความเห็นของท่านอาจารย์ผู้สัมภาษณ์ ท่านตอบผมแล้วจึงถามต่อ
“เป็นความคิดที่ดี หมายความว่า เธอจะเรียนเกษตร เอาความรู้ไปใช้ในการทําสวนยังงั้นรี”
“เปล่าครับ”
“ถ้ายังงั้นเธอจะเอาที่ดินไว้ทําอะไร”
“ผมก็เอาไว้ขายซิครับ”
แหล่งที่มา : หนังสือ “อนุสรณ์แม่โจ้ รุ่น 34″
ผู้เขียน : ทนง