กาแฟ ปลุกคนทั้งโลก ตื่นจากหลับไหล

นิคม วงศ์นันตา

สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้

กาแฟ: เครื่องดื่มที่ครองใจคนทั่วโลก

กาแฟเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมที่มีผู้บริโภคถึง 1 ใน 4 ของประชากรโลก หรือคิดเป็น 1,000 ล้านถ้วยต่อวัน การปลูก การชง และการดื่มกาแฟได้กลายเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ รวมถึงวัฒนธรรมของมนุษยชาติ

แหล่งปลูกกาแฟที่สำคัญของโลกแบ่งเป็น 3 โซน ได้แก่:

1. โซน A: อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลิตกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าเป็นหลัก
2. โซน B: อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร แถบแอฟริกา เช่น เคนยา
3. โซน C: อยู่แถบอเมริกาใต้ เป็นแหล่งผลิตกาแฟที่ใหญ่และมีคุณภาพมากที่สุดในโลก

กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้และอาชีพให้แก่เกษตรกร ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้จำหน่าย โดยคุณภาพของกาแฟขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การเก็บเกี่ยว การแปรรูป และการชง

ประวัติความเป็นมาของกาแฟ

กาแฟถูกค้นพบโดยบังเอิญในช่วงศตวรรษที่ 9 โดยคนเลี้ยงแพะชาวอาระเบียชื่อนายคาลดี (Kaldi) ที่สังเกตเห็นแพะของเขามีพฤติกรรมผิดปกติหลังจากกินผลสีแดงของพืชชนิดหนึ่ง จากนั้นพระมุสลิมชื่อฮะยี โอเมอร์ (Hadji Omer) ได้นำผลของพืชดังกล่าวมาทดลองคั่วและต้มดื่ม พบว่าสามารถสร้างความตื่นตัวและคลายความง่วงได้ดี

ในประเทศไทย การปลูกกาแฟเริ่มขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2447 โดยนายดีหมุนนำเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสต้าจากเมืองเมกกะมาปลูกที่จังหวัดสงขลา ส่วนกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าถูกนำเข้ามาปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2493 ที่จังหวัดจันทบุรี และต่อมาได้มีการพัฒนาและส่งเสริมการปลูกกาแฟอาราบิก้าบนพื้นที่สูงทางภาคเหนือเพื่อทดแทนการปลูกฝิ่น

สายพันธุ์และการปลูกกาแฟ

กาแฟที่นิยมปลูกเป็นการค้ามี 2 สายพันธุ์หลัก:
1. กาแฟอาราบิก้า (Coffea Arabica): มีความสำคัญมากที่สุด คิดเป็น 80% ของผลผลิตทั่วโลก มีคุณภาพและรสชาติดีที่สุด เหมาะสำหรับปลูกบนพื้นที่สูง
2. กาแฟโรบัสต้า (Coffea canephora var. robusta): มีความสำคัญรองลงมา ให้ผลผลิตสูงกว่า ทนทานต่อโรคและแมลงได้ดีกว่า เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่ที่มีอากาศอบอุ่น

การปลูกกาแฟในประเทศไทยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ:

1. การปลูกกลางแจ้ง: นิยมในภาคใต้
2. การปลูกใต้ร่มไม้: นิยมในภาคเหนือ โดยเฉพาะการปลูกกาแฟอาราบิก้าบนพื้นที่สูง

การดูแลรักษาต้นกาแฟต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น การเตรียมพื้นที่ปลูก การให้ธาตุอาหาร การตัดแต่งกิ่ง และการป้องกันกำจัดศัตรูพืช โดยเฉพาะโรคราสนิมซึ่งเป็นโรคสำคัญที่สุดในการผลิตกาแฟไทย

การเก็บเกี่ยวและการแปรรูป

คุณภาพของกาแฟขึ้นอยู่กับการเก็บเกี่ยวและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวเป็นสำคัญ การเก็บเกี่ยวด้วยมือยังคงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมคุณภาพ โดยทั่วไปจะทำการเก็บเกี่ยว 3 ครั้งในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์

กระบวนการผลิตสารกาแฟมี 3 วิธีหลัก:

1. วิธีแห้ง (Dry method)
2. วิธีเปียก (Wet method) – เป็นวิธีที่นิยมมากที่สุดเพราะให้กลิ่นและรสชาติที่ดีกว่า
3. วิธีผสม (Pulped Natural)

นอกจากนี้ ยังมีการผลิตกาแฟพิเศษที่เรียกว่า “กาแฟขี้ชะมด” หรือ “โกปิ ลูวัค” (Kopi Luwak) ซึ่งมีราคาแพงที่สุดในโลก

การชงและการดื่มกาแฟ

การชงกาแฟมีหลากหลายรูปแบบ โดยผู้เชี่ยวชาญในการชงกาแฟเรียกว่า “บาริสต้า” เมนูกาแฟที่นิยมมีหลายประเภท เช่น:
1. เอสเปรสโซ่ (Espresso): กาแฟเข้มข้นที่เป็นพื้นฐานของเมนูอื่นๆ
2. อเมริกาโน่ (Americano): กาแฟดำที่เจือจางจากเอสเปรสโซ่
3. คาปูชิโน่ (Cappuccino): กาแฟผสมนมสดและฟองนม
4. ลาเต้ (Latte): กาแฟใส่นม
5. มอคค่า (Mocha): กาแฟผสมช็อกโกแลต

ปัจจุบัน มีการพัฒนากาแฟรูปแบบใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เช่น กาแฟออร์แกนิก กาแฟไร้คาเฟอีน และกาแฟที่เพิ่มกลิ่นและรสชาติต่าง ๆ กาแฟไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มยอดนิยมเท่านั้น แต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย การผลิตและการบริโภคกาแฟได้พัฒนาเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่มีความซับซ้อนและน่าสนใจ ตั้งแต่การปลูก การแปรรูป ไปจนถึงการชงและการดื่ม กาแฟจึงไม่เพียงแต่เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยกระตุ้นร่างกายเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลก

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://kb.mju.ac.th/assets/img/articleFile/2564060158422eb486eb4f4fb7e9cfb43893412f.pdf

นิคม วงศ์นันตา สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร

สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้

2564

เชียงใหม่