องค์ความรู้

  • การเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานและวัสดุอย่างยั่งยืน: นวัตกรรมพลังงานไฟฟ้า–ความเย็น–ความร้อน จากกระบวนการแปรรูปขยะโดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้

    การเปลี่ยนขยะให้เป็นพลังงานและวัสดุอย่างยั่งยืน: นวัตกรรมพลังงานไฟฟ้า–ความเย็น–ความร้อน จากกระบวนการแปรรูปขยะโดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้

    ปัญหาขยะมูลฝอยเป็นหนึ่งในความท้าทายสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองที่มีการผลิตขยะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การจัดการขยะด้วยวิธีฝังกลบแบบดั้งเดิมไม่เพียงสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสูญเสียทรัพยากรที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ งานวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนาระบบ เปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน (Waste to Energy) แบบครบวงจร เพื่อสร้างประโยชน์ในรูปของไฟฟ้า ความเย็น ความร้อน และวัสดุก่อสร้าง พร้อมลดปริมาณขยะในชุมชนอย่างยั่งยืน งานวิจัยดำเนินการโดย รองศาสตราจารย์ ดร.นัฐพร ไชยญาติ หลักสูตรวิศวกรรมพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ร่วมกับภาคเอกชน เพื่อยกระดับการจัดการขยะสู่โมเดลพลังงานหมุนเวียนและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy – CE) วัตถุประสงค์ของงานวิจัย เทคโนโลยีและกระบวนการผลิตพลังงาน 1. เทคโนโลยีการแปรรูปขยะเป็นพลังงาน (CCHP System) ระบบประกอบด้วย เทคโนโลยีนี้สามารถผลิตพลังงานรูปแบบต่าง ๆ จากขยะชุมชนและของเสียอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2. การผลิตวัสดุก่อสร้างจากเถ้าและกากขยะ เถ้าที่เหลือจากการเผาไหม้สามารถนำมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์บล็อกประสานหรืออิฐก่อสร้าง โดยผลการทดสอบมีความแข็งแรงตามมาตรฐานอุตสาหกรรมและลดต้นทุนวัสดุก่อสร้างได้มากกว่า 20–30% 3. ผลิตพลังงานสะอาดจากขยะ ผลการทดลองพบว่า ระบบสามารถผลิต 4. ระบบตรวจวัดและควบคุมมลพิษอัตโนมัติ ติดตั้งระบบ ผลลัพธ์ของงานวิจัย 5. ผลด้านเศรษฐศาสตร์และสิ่งแวดล้อม 6. การใช้ประโยชน์เชิงพื้นที่ โครงการนำไปใช้ในหลายพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานรัฐและเอกชน…

  • การพัฒนาเครื่องอบแห้งลมร้อนแบบถาดหมุน: ระบบควบคุมอุณหภูมิ 2 ขั้นตอน เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตผลเกษตรและอุตสาหกรรมชุมชน

    การพัฒนาเครื่องอบแห้งลมร้อนแบบถาดหมุน: ระบบควบคุมอุณหภูมิ 2 ขั้นตอน เพื่อยกระดับคุณภาพผลิตผลเกษตรและอุตสาหกรรมชุมชน

    อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของไทยยังเผชิญปัญหาการสูญเสียผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยว การควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์แปรรูป และต้นทุนพลังงานที่สูง ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีอบแห้งที่มีประสิทธิภาพและได้มาตรฐานอุตสาหกรรมได้ งานวิจัยนี้จึงมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องอบแห้งลมร้อนที่เหมาะสม (Appropriate Technology) สำหรับภาคการผลิตระดับชุมชน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความปลอดภัย มาตรฐานสุขอนามัย และการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า วัตถุประสงค์ของงานวิจัยและพัฒนา สาระสำคัญของนวัตกรรม 1. ระบบถาดหมุนและการควบคุมอุณหภูมิ 2 ขั้นตอน ระบบถาดหมุนช่วยให้ลมร้อนกระจายสม่ำเสมอทั่วทั้งเครื่อง ลดความแตกต่างของอุณหภูมิในแต่ละตำแหน่ง ขณะที่ระบบควบคุมอุณหภูมิ 2 ขั้นตอน (Two-stage Temperature Control) ทำงานดังนี้ ผลลัพธ์คือผลิตภัณฑ์อบแห้งมีสีสันและคุณภาพดีอย่างสม่ำเสมอ ลดอัตราการสูญเสียได้กว่าร้อยละ 50 2. การออกแบบที่สอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรมอาหาร 3. ระบบควบคุมแบบ IoT และการจัดเก็บข้อมูล เครื่องสามารถเชื่อมต่อกับระบบ Internet of Things (IoT) เพื่อ 4. ประสิทธิภาพด้านพลังงานและความคุ้มค่า 5. รองรับผลิตผลท้องถิ่นหลากหลาย เครื่องอบแห้งสามารถใช้กับพืชผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และสมุนไพร เช่น ทำให้ผู้ประกอบการมีตัวเลือกในการเพิ่มมูลค่าสินค้าได้กว้างขึ้นมาก ผลลัพธ์เชิงเศรษฐกิจและสังคม…

  • นวัตกรรมการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรด้วยไบโอชาร์ดัดแปลง: ต้นแบบการพัฒนาชุมชนสู่เกษตรยั่งยืนตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

    นวัตกรรมการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรด้วยไบโอชาร์ดัดแปลง: ต้นแบบการพัฒนาชุมชนสู่เกษตรยั่งยืนตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน

    โครงการ IWA Intelligent Well-Being Agriculture ได้นำเสนอนวัตกรรมสำคัญในการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยเฉพาะฟางข้าวหรือแกลบ ด้วยการพัฒนา ไบโอชาร์ดัดแปลง (Modified Biochar/Hydrogel Composite) ภายใต้แนวคิด Bio-Circular Economy (BCE) เพื่อสร้างชุมชนปลอดขยะ (Zero Waste Community) และส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน. นวัตกรรมนี้ได้จัดทำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. มุจลินทร์ ผลจันทร์ แและคณะ. แนวคิดหลักและการแก้ปัญหา ปัญหาการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม. โครงการนี้ได้เปลี่ยนมุมมองต่อ “ของเสีย” ให้กลายเป็น “ทรัพยากรที่มีมูลค่า”. วัตถุประสงค์หลักของโครงการคือการพัฒนาการจัดการเศษวัสดุเหลือใช้โดยสร้างมูลค่าเพิ่ม (Added Value) เพื่อสร้างความยั่งยืนในสามมิติหลัก: 1. สิ่งแวดล้อม (Environment): ลดมลพิษจากการเผา และเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร. 2. สังคม (Society): สร้างความรู้ความเข้าใจ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือในชุมชน. 3. เศรษฐกิจ (Economy): สร้างอาชีพและธุรกิจชุมชนจากของเหลือใช้. นวัตกรรมหลักของโครงการคือ “ไบโอชาร์ดัดแปลง/ไฮโดรเจลคอมโพสิท” หรือ CMC/GHG…

  • คู่มือ การเลี้ยงสุกรพันธุ์

    คู่มือ การเลี้ยงสุกรพันธุ์

    การเลี้ยงสุกรและการคัดเลือกพันธุ์เพื่อผลผลิตที่มีคุณภาพ การเลี้ยงสุกรเป็นกระบวนการที่ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูงสุดและตอบสนองความต้องการของตลาด ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการเลี้ยงสุกรได้แก่ พันธุ์สุกรที่ดี อาหารที่เหมาะสม โรงเรือนที่มีคุณภาพ การจัดการที่ดี และการป้องกันโรค ซึ่งการประยุกต์ใช้แต่ละปัจจัยอย่างเหมาะสมจะส่งผลต่อความเจริญเติบโตและสุขภาพของสุกรโดยรวม 1. พันธุ์สุกรที่ดี การคัดเลือกพันธุ์สุกรที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญในการเลี้ยงสุกรที่ประสบผลสำเร็จ สุกรพันธุ์ดีจะต้องมีลักษณะโตเร็ว แข็งแรง ปลอดโรค และมีประสิทธิภาพในการใช้อาหารสูง พันธุ์สุกรที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยได้แก่ สุกรพันธุ์แลนด์เรซ (Landrace) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากประเทศเดนมาร์ก มีลักษณะรูปร่างยาว หูยาว และโครงสร้างแข็งแรง อีกทั้งยังมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและเลี้ยงลูกเก่ง สุกรพันธุ์ลาร์จไวท์ (Large White) ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศอังกฤษ เป็นสุกรที่มีการเติบโตเร็วและมีคุณภาพเนื้อดี สุกรพันธุ์ดูร็อค (Duroc) ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในอเมริกา มีลักษณะเด่นที่เนื้อแดง และสุกรพันธุ์เปียแตรง (Pietrain) ที่มีลักษณะโครงสร้างแข็งแรงและมีคุณภาพเนื้อสูง แต่มีการเลี้ยงลูกไม่เก่งเท่าพันธุ์อื่น ๆ 2. อาหารที่มีคุณภาพ อาหารที่ใช้เลี้ยงสุกรเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อการเจริญเติบโตของสุกร อาหารที่ดีควรมีสารอาหารครบถ้วน มีปริมาณโปรตีนและพลังงานที่เพียงพอสำหรับการเจริญเติบโตของสุกร โดยต้องปราศจากสารพิษหรือสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของสุกร และควรมีต้นทุนที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เป็นภาระทางเศรษฐกิจต่อผู้เลี้ยง 3. โรงเรือนที่เหมาะสม โรงเรือนสำหรับเลี้ยงสุกรควรมีการออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เพื่อให้สุกรมีความเป็นอยู่ที่ดี มีการระบายอากาศที่ดีและป้องกันจากสภาพอากาศที่แปรปรวน เช่น ฝนและลมแรง โรงเรือนควรมีโครงสร้างที่แข็งแรงและปลอดภัย นอกจากนี้ยังต้องมีระบบระบายน้ำที่ดีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำท่วมขังในโรงเรือน ซึ่งอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้…

  • การพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรที่เหมาะสมสำหรับการเรียนการสอน 

    การพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรที่เหมาะสมสำหรับการเรียนการสอน 

    การพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนความมั่นคงทางการเกษตรและเศรษฐกิจของประเทศ โดยเทคนิคนี้ช่วยให้สามารถขยายพันธุ์พืชได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ช่วยลดการนำเข้ายาและผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ซึ่งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรสมุนไพรในประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่พืชสมุนไพรไทยที่เป็นทรัพยากรอันมีคุณค่า เทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเน้นการเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงเนื้อเยื่อให้สะอาดและมีแร่ธาตุที่เหมาะสม เช่น อาหารสูตร MS ซึ่งประกอบด้วยธาตุอาหารหลักอย่างไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม (NPK) รวมถึงสารอาหารรอง ฮอร์โมน และวิตามินที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อพืช ขั้นตอนการฟอกฆ่าเชื้อชิ้นส่วนพืชก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อป้องกันการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์ โดยใช้สารฟอกฆ่าเชื้อ เช่น เอทิลแอลกอฮอล์ และคลอร๊อกซ์ ในความเข้มข้นที่เหมาะสม โครงการนี้ได้จัดกิจกรรมฝึกอบรมแก่นักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาในพื้นที่อำเภอละแม จังหวัดชุมพร และอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมทั้งหมด 5 โรงเรียน มีผู้เข้าร่วมจำนวน 237 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และทักษะด้านการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพร ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการเรียนการสอน รวมถึงการสร้างอาชีพเสริมที่ยั่งยืนในชุมชนของตน การพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชสมุนไพรนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสร้างองค์ความรู้ให้แก่นักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรสมุนไพรอย่างมีประสิทธิภาพ การอนุรักษ์ความหลากหลายของพืชสมุนไพรไทย และการประยุกต์ใช้สมุนไพรในการดูแลสุขภาพ ซึ่งเป็นการสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นและสร้างเอกลักษณ์ของชาติให้คงอยู่ในอนาคต เจ้าของผลงาน: นางณิชาพล บัวทอง, อาจารย์นาตาลี อาร์ ใจเย็น, น.ส.สายทอง สุจริยพงศ์พร, ผศ.ดร.กมลวรรณ ศุภวิญญู, ผศ.ยุทธนา สว่างอารมย์ หน่วยงาน:…

  • สูตรการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะเกี๋ยง มะเกี๋ยงหยี๋

    สูตรการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะเกี๋ยง มะเกี๋ยงหยี๋

    การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากมะเกี๋ยง: มะเกี๋ยงหยี๋ มะเกี๋ยงเป็นผลไม้พื้นเมืองทางภาคเหนือของประเทศไทย มีลักษณะผลคล้ายลูกหว้าแต่ขนาดเล็กกว่า มีสีม่วงแดง และมีรสเปรี้ยวเข้มข้น ซึ่งมะเกี๋ยงนี้อุดมไปด้วยสารแอนโทไซยานินที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม มะเกี๋ยงเป็นผลไม้ที่เสื่อมเสียได้ง่ายหลังการเก็บเกี่ยว ดังนั้นการแปรรูปเป็นมะเกี๋ยงหยี๋จึงเป็นหนึ่งในกระบวนการที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตร ส่วนผสมมะเกี๋ยงหยี๋ ส่วนผสมผงหยี๋ ขั้นตอนการทำมะเกี๋ยงหยี๋ การแปรรูปมะเกี๋ยงเป็นมะเกี๋ยงหยี๋ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มมูลค่าและยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิต แต่ยังสามารถช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้อีกด้วย เนื่องจากมะเกี๋ยงหยี๋เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายในรสชาติ สามารถเก็บรักษาได้เป็นเวลานานถึง 3 เดือน และบรรจุในภาชนะปิดสนิทเพื่อป้องกันความชื้น การผลิตน้ำมะเกี๋ยงพร้อมดื่มด้วยวิธีพาสเจอร์ไรส์ น้ำมะเกี๋ยงเป็นเครื่องดื่มที่มีความสดชื่นและยังคงคุณค่าทางโภชนาการจากมะเกี๋ยง โดยในกระบวนการผลิตนั้นใช้วิธีพาสเจอร์ไรส์เพื่อทำลายจุลินทรีย์ก่อโรคและยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ให้นานยิ่งขึ้น ส่วนผสมในการผลิตน้ำมะเกี๋ยง ขั้นตอนการผลิตน้ำมะเกี๋ยง การผลิตน้ำมะเกี๋ยงนี้ใช้กระบวนการพาสเจอร์ไรส์ที่เหมาะสมเพื่อช่วยยืดอายุการเก็บรักษาและคงความสดชื่นของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการจากผลไม้พื้นเมืองของไทย การผลิตเชอร์เบทมะเกี๋ยง: ไอศกรีมจากผลไม้พื้นเมือง เชอร์เบทมะเกี๋ยงเป็นไอศกรีมชนิดหนึ่งที่ผลิตจากเนื้อมะเกี๋ยงและมีปริมาณไขมันต่ำกว่าปกติ ทำให้ได้รสชาติที่เปรี้ยวหวานสดชื่นเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความอร่อยในแบบสุขภาพดี เชอร์เบทมีความแตกต่างจากไอศกรีมทั่วไปเนื่องจากมีผลึกน้ำแข็งที่หยาบกว่าและไขมันน้อยกว่า ส่วนผสมในการผลิตเชอร์เบทมะเกี๋ยง ขั้นตอนการผลิตเชอร์เบทมะเกี๋ยง การผลิตเชอร์เบทมะเกี๋ยงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมในการใช้ประโยชน์จากผลไม้พื้นเมือง และยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับมะเกี๋ยง การบริโภคเชอร์เบทมะเกี๋ยงนอกจากจะได้ความอร่อยแล้วยังได้รับคุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์จากสารแอนโทไซยานินที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย เรียบเรียงโดย: ดร.พัตรเพ็ญ เพ็ญจารัส, ผศ.ดร.อิศรา วัฒนนภาเกษม, ดร.สุภารัตน์ อำนาจ, นางสุรัลชนา มะโนเนือง, นายอนุกูล จันทร์แก้ว, นางสาวอังคณา ชมภูมิ, นางสาวบังอร ปินนะหน่วยงาน : ศูนย์เรียนรู้การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลผลิตเกษตรอินทรีย์มหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่…

  • คู่มือ นวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำระบบปิด เพื่อการผลิตสัตว์น้ำแบบปลอดภัยและคุณภาพสูง

    คู่มือ นวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำระบบปิด เพื่อการผลิตสัตว์น้ำแบบปลอดภัยและคุณภาพสูง

    หนังสือคู่มือ “นวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำระบบปิดเพื่อการผลิตสัตว์น้ำปลอดภัยและคุณภาพสูง” นี้มีเนื้อหาที่ครอบคลุมเกี่ยวกับนวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำที่เน้นการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยของผลผลิต โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยที่จัดทำโดยนักวิจัยจากคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และเพิ่มศักยภาพการเลี้ยงปลาเศรษฐกิจในชุมชนภาคเหนือให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับนวัตกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำใน ระบบหมุนเวียนน้ำ (Recirculating Aquaculture System หรือ RAS) และ ระบบไบโอฟลอค (Biofloc) ซึ่งทั้งสองระบบนี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถควบคุมคุณภาพและปริมาณผลผลิตได้ดีกว่าการเลี้ยงในบ่อดินแบบเดิม ทั้งนี้ยังช่วยลดการใช้น้ำในการผลิต ทำให้การเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่จำกัดสามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูงขึ้น โดยรายละเอียดของระบบทั้งสองมีดังนี้: 1. การเลี้ยงสัตว์น้ำระบบหมุนเวียนน้ำ (Recirculating Aquaculture System, RAS) ระบบ RAS เป็นเทคนิคการเลี้ยงสัตว์น้ำที่ใช้น้ำหมุนเวียน ซึ่งผ่านการบำบัดให้มีคุณภาพดีแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ กระบวนการนี้เหมาะสำหรับการเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่จำกัด (Land-Based Aquaculture) ภายใต้โดมความร้อน โดยการเลี้ยงในระบบนี้สามารถควบคุมคุณภาพน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้สามารถเลี้ยงปลาในปริมาณที่หนาแน่นได้สูงขึ้น โครงสร้างและระบบบำบัดน้ำของ RAS ประกอบด้วย: การเลี้ยงในระบบ RAS นี้สามารถลดการใช้น้ำได้อย่างมาก และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการของเสีย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความคุ้มค่าในการผลิต 2. การเลี้ยงสัตว์น้ำระบบไบโอฟลอค (Biofloc) ระบบไบโอฟลอค เป็นนวัตกรรมที่ใช้จุลินทรีย์มาช่วยบำบัดของเสียในบ่อเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยจุลินทรีย์เหล่านี้จะย่อยสลายของเสียให้กลายเป็นสารอาหารที่สัตว์น้ำสามารถกินได้ ระบบนี้ช่วยลดการใช้ทรัพยากรและเพิ่มการใช้ประโยชน์จากของเสียในการเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลให้สัตว์น้ำมีสุขภาพดี และอัตราการรอดสูง…

  • แนวทางการผลิตปลาหมอไทยเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรม การเลี้ยงสัตว์น้ำอินทรีย์

    แนวทางการผลิตปลาหมอไทยเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรม การเลี้ยงสัตว์น้ำอินทรีย์

    แนวทางการผลิตปลาหมอไทยเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมการเลี้ยงสัตว์น้ำอินทรีย์ ปลาหมอไทย (Climbing Perch, Anabas testudineus) เป็นปลาน้ำจืดที่พบได้ทั่วไปในแหล่งน้ำทุกภาคของประเทศไทย นิยมบริโภคเพราะรสชาติดีและมีราคาสูง โดยตลาดมีความต้องการทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น มาเลเซียและแถบตะวันออกกลาง ปลาหมอไทยเลี้ยงง่าย เจริญเติบโตเร็ว ทนทานต่อโรคและสภาพภูมิอากาศ ทำให้เหมาะสมกับการเพาะเลี้ยงเชิงพาณิชย์แบบอินทรีย์ ในปัจจุบัน แนวโน้มผู้บริโภคให้ความสำคัญกับอาหารที่ปลอดภัยและปราศจากสารเคมี นักเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจึงต้องหาวิธีการเลี้ยงที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และเกษตรกรสามารถใช้ช่องทางนี้เพื่อสร้างรายได้ในวิถีการเลี้ยงแบบอินทรีย์ โดยปลาหมอไทยมีความทนทานสูง สามารถขนส่งและจำหน่ายในรูปแบบปลาสดมีชีวิตได้ การจัดการบ่อเลี้ยงและการปล่อยลูกปลา การเตรียมบ่อเลี้ยงปลาหมอควรเริ่มจากการกำจัดศัตรูปลา วัชพืช และพืชน้ำต่าง ๆ จากนั้นให้หว่านปูนขาว 150-200 กิโลกรัมต่อไร่ และตากบ่อให้แห้ง 2-3 สัปดาห์ เพื่อป้องกันโรคและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคระบาด เมื่อน้ำในบ่อพร้อม การปล่อยลูกปลา ควรเลือกปล่อยในช่วงเช้าหรือเย็น โดยใช้ลูกปลาขนาด 2-3 เซนติเมตร หรือที่เรียกว่า “ขนาดใบมะขาม” ซึ่งเป็นลูกปลาอายุ 25-30 วัน การให้อาหารและการพัฒนาสูตรอาหาร การให้อาหารปลาหมอไทยต้องสอดคล้องกับช่วงอายุของปลา ซึ่งปกติใช้เวลาประมาณ 90-120 วันในการเลี้ยงให้ได้ขนาดที่ตลาดต้องการ สูตรอาหารที่ใช้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนและลดต้นทุน โดยมีการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น เช่น กล้วยน้ำว้าและถั่วเหลือง มาผสมในอาหารแทนการใช้ปลาป่นบางส่วน พบว่าการใช้กล้วยน้ำว้าช่วยเพิ่มศักยภาพในการเลี้ยง…

  • เครื่องปฏิกรณ์ไพโรไลซีสแบบช้า ระดับชุมชนนำร่อง

    เครื่องปฏิกรณ์ไพโรไลซีสแบบช้า ระดับชุมชนนำร่อง

    การพัฒนาเครื่องปฏิกรณ์ไพโรไลซีสแบบช้าเพื่อเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุปาล์มน้ำมัน การจัดการเศษวัสดุเหลือทิ้งจากการเพาะปลูกปาล์มน้ำมันเป็นความท้าทายสำคัญของเกษตรกรไทย ด้วยปริมาณทางใบและทะลายปาล์มที่เหลือทิ้งจำนวนมากในแต่ละปี ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้จึงได้พัฒนาเครื่องปฏิกรณ์ไพโรไลซีสแบบช้าระดับชุมชนนำร่อง เพื่อแปรรูปเศษวัสดุเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นวัตกรรมการแปรรูปเศษวัสดุปาล์มน้ำมัน เครื่องปฏิกรณ์ไพโรไลซีสที่พัฒนาขึ้นมีขนาด 500 กิโลกรัม ประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 4 ส่วน ได้แก่ ห้องเผาไหม้ ปล่องไฟ ห้องไพโรไลซีส และชุดควบแน่น โดยมีการออกแบบพิเศษให้ห้องเผาไหม้มีการสูญเสียความร้อนต่ำที่สุด และระบบควบแน่นที่มีประสิทธิภาพสูงในการดักจับสารระเหย ทำให้ได้ผลผลิตทั้งน้ำส้มควันไม้และน้ำมันชีวภาพในปริมาณสูง ผลการศึกษาและประสิทธิภาพการผลิต การทดสอบภายใต้อุณหภูมิ 450 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 120 นาที พบว่าเครื่องมีประสิทธิภาพการทำงานประมาณ 55% โดยสามารถผลิตผลิตภัณฑ์จากทางใบและทะลายปาล์มได้ดังนี้: ผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณภาพดี โดยเฉพาะถ่านชีวภาพที่มีคุณสมบัติเด่นคือมีปริมาณคาร์บอนคงตัวสูง ค่าความร้อนดี และมีความเป็นรูพรุนสูง เหมาะสำหรับการใช้เป็นเชื้อเพลิงและสารปรับปรุงดิน ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ การวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์พบว่า การแปรรูปผลิตภัณฑ์ขั้นสูงให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยเฉพาะการผลิตดินปลูกผสมมูลไส้เดือนร่วมกับน้ำส้มควันไม้กลั่น มีระยะเวลาคืนทุนต่ำกว่า 1 ปี ในขณะที่การผลิตถ่านชีวภาพอัดแท่งและน้ำส้มควันไม้กลั่นมีระยะเวลาคืนทุนประมาณ 1.2 ปี ผลกระทบต่อชุมชน โครงการนี้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนหลายด้าน ได้แก่: บทสรุป เครื่องปฏิกรณ์ไพโรไลซีสแบบช้าระดับชุมชนนำร่องนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการแก้ปัญหาการจัดการเศษวัสดุเหลือทิ้งจากการเพาะปลูกปาล์มน้ำมัน พร้อมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มและรายได้ให้แก่ชุมชน นับเป็นต้นแบบของการพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับชุมชนเกษตรกรรมอย่างแท้จริง ผู้รับผิดชอบโครงการ:ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิกราน…

  • ข้าวกล้องงอก สุกง่าย ไร้มอด ปลอดกลิ่นหืน โดยไม่ใช้ถุงสูญญากาศ

    ข้าวกล้องงอก สุกง่าย ไร้มอด ปลอดกลิ่นหืน โดยไม่ใช้ถุงสูญญากาศ

    ข้าวกล้องงอกเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากมีสารอาหารสูงและประโยชน์ต่อสุขภาพ โดยเฉพาะสาร Gamma Amino Butyric Acid (GABA) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้ระบบประสาทผ่อนคลาย ลดความเครียด และส่งเสริมการทำงานของสมอง อย่างไรก็ตาม ข้าวกล้องทั่วไปมักมีปัญหาเรื่องการเก็บรักษา เช่น มอดขึ้นง่ายและมีกลิ่นหืน ทำให้ร้านค้าและผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการซื้อ นวัตกรรมกระบวนการผลิตข้าวกล้องงอกที่พัฒนาโดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ ได้แก้ไขปัญหานี้โดยไม่ต้องพึ่งพาถุงสุญญากาศ ซึ่งช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสะดวกในการจำหน่ายและบริโภค กระบวนการผลิตข้าวกล้องงอก กระบวนการผลิตข้าวกล้องงอกในรูปแบบใหม่นี้มีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้: จุดเด่นของนวัตกรรม ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม สรุป นวัตกรรมกระบวนการผลิตข้าวกล้องงอกที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยแก้ปัญหาข้าวกล้องแบบเดิม โดยช่วยให้เก็บรักษาได้นาน ไร้มอด ปลอดกลิ่นหืน และหุงสุกง่าย ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคสามารถนำไปใช้ได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ กระบวนการผลิตยังสามารถนำไปพัฒนาในระดับชุมชนและอุตสาหกรรมได้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยเสริมความมั่นคงทางอาหารและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้ผลิตข้าวกล้องในประเทศไทย ข้อมูลผู้พัฒนา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประเทือง โชคประเสริฐดร.พัตรเพ็ญ เพ็ญจารัสสาขาเทคโนโลยีการอาหารมหาวิทยาลัยแม่โจ้-แพร่ เฉลิมพระเกียรติ แหล่งข้อมูล https://kb.mju.ac.th/article.aspx?id=3595เอกสารฉบับเต็ม https://maejo.link/Vjn4