ชิงธง กางเขนไฟ

Archives-Logo-2021-black-3500x1000

Maejo University Oral History

เรื่องราวเหตุการณ์ ประสบการณ์ คำบอกเล่า จากศิษย์เก่าแม่โจ้ เพื่อการเติมเต็มประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้่

            เรื่องการชิงธง เกิดในรุ่น 3 รับน้องรุ่น ที่เริ่มมีขึ้นมา ตอนนั้นมันเริ่มมีแห่รถสาลี่ประจาน มีกางเขนไฟ มีเขียนจดชื่อลงหนังหมา มันเริ่มเกิดอะไรประหลาด ๆ พวกเราคงรู้กันแล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว มันหยุดลงในรุ่น 16 รุ่น 17 ไม่มีแล้ว ทีนี้เรื่องชิงธงเกิดขึ้นที่แม่โจ้แล้วก็สืบทอดไปที่บางเขน เพราะสมัยนั้นคนที่เรียนจบแม่โจ้ก็ไปต่อที่บางเขนก็เอาประเพณีไปสืบทอด ที่รู้ข้อมูลก็เพราะ อาณัติ ตันสกุล แม่โจ้รุ่น 19 เป็นผู้ชิงธงได้ที่บางเขน เป็นฮีโร่ของบางเขน คนนี้สนิทกันเรียนด้วยกันและเที่ยวด้วยกันในช่วงที่ไปเรียนที่อินเดีย ผมไปเรียนด้วยทุนรัฐบาลอินเดีย แต่อาณัติเขาไปเรียนด้วยเงินส่วนตัวของพ่อเขา ไปเจอกันที่อินเดีย อุบายของการชิงธงก็เพื่อให้สร้างความสามัคคีกันให้กับน้องใหม่ที่มาจากคนละทิศคนละทาง ทีนี้จะสามัคคีกันได้ก็ต้องรวมพลังเป็นหนึ่งจึงจะสามัคคี ถึงจะทำอะไรสำเร็จเหมือนกับขุดสระ นี่เป็นความคิดของรุ่นพี่ เพราะฉะนั้น มันไม่มีกิจกรรมเหมือนขุดสระอีกแล้วนี่ เพราะฉะนั้น ปี 3 ธงตั้งขึ้นมีเสาน้ำมัน ธงอยู่ข้างบนธง เขียว ขาว เหลือง ปี 2 อยู่ข้างใน ปี 1 เข้าไปชิง ปี 3 ล้อมอยู่ข้างนอก ถ้าไม่เข้าปี 3 ถีบเข้าไป เข้าไปปี 2 ถีบออกมา เพราะฉะนั้นปี 1 ไม่รักใคร่กันไม่เลิก ชิงธงไม่ได้ก็ไม่เลิกสักทีนะ เพราะฉะนั้นมันต้องปรึกษา สามัคคีหนักเข้าก็แท็คกันเหมือนไอ้พวกนี้พยายามเข้าไปทลายมุ้ง ถ้าไม่มีความรู้มันก็ทลายไม่ได้เพราะมัน 2-3 คนทลายมุ้งไม่ได้ คงเหมือนในปัจจุบันที่สนามอินทนิลเวลาเปิดเกมจะมีพวกรุ่นพี่คอยยั่วยุ กดดัน ตอนเข้าไปชิงธง ต่างก็ล็อคกันอยู่หนาแน่นจะเข้าไป ก็ถูกถีบออกมา จนกว่ามันจะสามัคคีเมื่อไหร่เราพุ่งเข้าไปยังไงก็ไม่ได้ถูกถีบกระเด็นล็อกกันไว้แน่นเป็นมุ้งเลย เพื่อไม่ให้น้องเข้าไปชิงธงได้ กว่าจะชิงธงได้นี่ พี่ปีสองก็เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่งสะบักสะบอม เพราะน้องมันกระแทกเอา มันก็รุนแรง น้องตัวใหญ่ก็มี ไอ้น้องก็แทบกระอักเหมือนกัน เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง พี่ปีสามอยู่ข้างนอกไม่ใช่ว่าจะไม่โดน น้องที่มันไม่สู้ใจมันไม่สู้มันจะหนีออก ก็ต้องไปฟัดกับพวกพี่ปีสามวงนอกอีก เรียกได้ว่าเจ็บกันไปทั่วหน้านั่นแหละ หนักเข้า ๆ นี่ก็เลยให้เลิกซะแล้วที่บางเขนเขาก็มีประธานประเพณีที่นั่นเหมือนกับเรา ซึ่งประธานประเพณีนี่ใหญ่มาก ส่วนคนที่มีอำนาจรองจากประธาน ประเพณีนั่นในสมัยก่อนก็จะทำหน้าที่เป็นผู้คุมกฎ ก็คือทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยต่าง ๆ เป็นฝ่ายบู๊ ส่วนฝ่ายยุ่นก็ไปจัดทำแผนวางแผนไปตัดก้านกล้วยอะไรต่ออะไร ปักธง เรื่องจะปล้นหอ ฝ่ายบู๊ที่จะไปดูความเรียบร้อยก่อนที่น้องจะขึ้นหอ

            พวกพี่ก็ไปหลอกเอามาร้องเพลง บ้างก็แอบไปเก็บขวานเก็บจอบเก็บมีดเสียมอันตราย ที่ในหอเวลาเขาไปปล้นหอ น้องก็ไม่มีอาวุธแล้วอย่างนี้ ก็แบ่งหน้าที่กันทำอย่างนั้น ทีนี้ของเราเรียกอย่างนี้มาเรื่อย ๆ โดยไม่ได้ชัดเจน แต่ที่บางเขนเขาเรียกดีหน่อยมีชื่อดูดี เช่น ฝ่ายดูแลความสงบเรียบร้อยเขาเรียกอธิบดีตำรวจ ที่บางเขนอธิบดีตำรวจก็จะทำหน้าที่กำกับดูแลมีอำนาจคล้ายอธิบดีตำรวจ คนอื่นประเพณีนี่ก็ให้ความเคารพ ถือว่าผู้ใหญ่ แต่อธิบดีตำรวจอำนาจเยอะพวกบางเขนเขายังมีวิวัฒนาการเขาอาจจะดูดีเพราะเป็นผู้ใหญ่กว่า แล้วเขาก็อยู่ในสังคมที่ต่างกับเราของพวกบางเขนคือ พวกที่จบ ม.7 ม.8 มาก็จะเข้าไปเรียนเพราะฉะนั้นวัฒนธรรมต่างๆ จึงออกมา ค่อนข้างจะดี

            แม่โจ้แรกๆ จบ ปว.ส. มาเรียน ต่อสองปีก็ไปเอาวัฒนธรรมรับน้องจากวิทยาลัยเกษตรมาสอดไส้เพิ่มเติมจนมีกระทั่งห้องมืด ตอนมีห้องมืดแล้วก็จะมีอยู่ปีหนึ่งก็มีการร้องเรียนกันแล้วปีนั้นก็รู้สึกจะรุนแรง ตอนนั้นอาจารย์วิภาต บุญศรี เป็นอธิการบดี ยุคท้ายๆ อาจารย์บุญศรีท่านจึงได้เรียก ศิษย์เก่ามาประชุมกับ

            ผมเองในฐานะรุ่นพี่ได้มากับเขาด้วยแล้วก็เราประชุมแยกกลุ่มร่วมฟังข้อมูลจากรุ่นน้องเป็นคู่ๆประชุมกับรุ่นน้องเป็นกลุ่มๆ เป็นห้อง ผมได้คู่กับอาจารย์สราญ เพิ่มพูล รุ่นน้องก็ฟ้องต่างๆ นานาพวกเราจึงบอกน้องๆ ว่าปีนี้คุณจำไว้นะ ไอ้เล่นกันนี่มันก็เล่นหนักบ้างเบาบ้างเราลูกผู้ชายขอกันกินเพราะฉะนั้นก็ต้องอดทน อย่าถือสากัน ตอนนี้คุณพูดอย่างนี้ คุณก็จำไว้ เรารับฟังแล้วจะไปแก้ไขจะเอาไปพิจารณาในปีหน้า แต่พวกคุณก็จำไว้ ปีหน้าวันนี้คุณจะพูดอย่างนี้อีกหรือไม่และคุณจะเลิกการกระทำอย่างนี้ไหม ถ้าคุณเห็นว่าไม่ดีปีหน้าคุณก็ต้องเอาไปต่อสู้เลิกเพราะเป็นปีของคุณแล้วแต่ปีนี้คุณต้องยอมเขา พวกน้อง ๆ ก็รับฟัง

            ต่อมาถึงปีของตัวเองก็ไม่เห็นยอม เราบอกเลิกน้องก็บอกเลิกไม่ได้ เป็นตายก็ไม่ได้ ทุกคน ต่างพูดคนละคำกับตอนเป็นปีหนึ่งเลยนะ อาจารย์บุญศรีท่านดีนะได้เชิญอาจารย์ในแม่โจ้เข้าไปเสวนาเชิญศิษย์เก่าขึ้นไปพูดแล้วมีพี่แผ่พืชน์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา และมีใครต่อใครขึ้นไปพูดแล้วผมก็ถูกเชิญขึ้นไปพูดด้วยคนหนึ่ง ผมขึ้นไปพูดสาธยายให้อาจารย์ทั้งหลายฟังพี่แผ่พืชน์ยังพยักหน้ารับรู้ ก็เข้าใจกันมากขึ้นเพราะได้พูดคุยกัน รู้สึกว่าจะเลิกปีนั้นเลย

            เท่าที่ทราบตอนหลังมันมีคุกมืด สมัยก่อนมันไม่มีแล้วคำว่าคุกมืดในแม่โจ้เป็นมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ที่ บ่มเพาะสร้างปัญญาชนสร้างอนาคตของชาติ ไม่ใช่คุกจะต้องมามีคุกมืด เพราะฉะนั้น คุกมืดนี่มันอยู่ในที่ ๆ คนทำผิดร้ายแรงแล้วไปอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นวันนี้ทำถึงเกิดได้แล้วทำไมอาจารย์ถึงปล่อยให้เกิดขึ้น ก็อยากจะฝากว่าหน้าที่แก้ไม่ใช่ไปโวยวายกับนักศึกษา พวกบรรดาอาจารย์นี่แหละต้องไปแก้ไข

ผู้ให้ข้อมูล: วุฒิ ชพานนท์ แม่โจ้รุ่นที่ 22
ที่มา: หนังสือบันทึกแม่โจ้ ความคิด ชีวิต ตำนาน 

“การชิงธงก็เพื่อให้สร้างความสามัคคีกันให้กับน้องใหม่ที่มาจากคนละทิศคนละทาง ทีนี่จะสามัคคีกันได้ก็ต้องรวมพลังเป็นหนึ่งจึงจะสามัคคีถึงจะทำอะไรสำเร็จเหมือนกับขุดสระ นี่เป็นความคิดของรุ่นพี่ เพราะฉะนั้น มันไม่มีกิจกรรมเหมือนขุดสระอีกแล้ว”

เชิญชวนศิษย์เก่าแม่โจ้ ร่วมเติมเต็มประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยการบอกเล่าประสบการณ์จากอดีตที่ผ่านมาของท่านในแม่โจ้

สามารถติดต่อเพื่อให้ข้อมูลได้ที่ ฝ่ายจดหมายเหตุและคอลเล็กชั่นพิเศษ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อาคารวิภาต บุญศรี วังซ้าย

โทร. 0 5387 3508

หรือสามารถติดต่อได้ที่ Facebook: จดหมายเหตุมหาวิทยาลัยแม่โจ้