การผลิตปุ๋ยอินทรีย์วิธีใหม่ “วิศวกรรมแม่โจ้ 1”
เป็นการค้นคว้าวิจัยของคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ในปี พ.ศ 2552 ได้มีนวัตกรรมใหม่ในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่ไม่ต้องพลิกกลับกอง ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพดีได้ในปริมาณมาก ๆ ต่อครั้ง ประมาณ 10-100 ตัน และปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้มีค่ามาตรฐานของปุ๋ยอินทรีย์ของกรมวิชาการเกษตร พ.ศ. 2551 ใช้ระยะเวลาในการทำเพียง 60 วัน เรียกวิธีนี้ว่าวิธี “วิศวกรรมแม่โจ้ 1” ซึ่งเป็นการทำปุ๋ยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีกลิ่นและน้ำเสีย วัตถุดิบที่ใช้มีเพียงเศษพืชกับมูลสัตว์เพียง 2 อย่างเท่านั้น โดยใช้เศษพืชเป็นฟางข้าว หรือเศษข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หรือผักตบชวา ในอัตราส่วนระหว่างฟางข้าว หรือเศษข้าวโพด หรือผักตบชวา กับมูลสัตว์ ในอัตราส่วน 4 ต่อ 1 โดยปริมาตร และถ้าเป็นเศษใบไม้ใช้อัตราส่วน 3 ต่อ 1 โดยปริมาตร
การทำปุ๋ยอินทรีย์ ถ้าทำตามวิธี “วิศวกรรมแม่โจ้ 1” จะมีข้อดี 3 ข้อ
- ทำง่าย วิธีการไม่ยุ่งยาก
- ต้นทุนต่ำ ตกประมาณกิโลละ 1 บาท
- ปุ๋ยที่ได้มีคุณภาพดี
ปุ๋ยคุณภาพดี คือ ปุ๋ยที่มีธาตุอาหาร NPK อินทรียวัตถุ ธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง ผ่านเกณฑ์มาตรฐานปุ๋ยของประเทศ โดยการส่งตัวอย่างปุ๋ยตรวจที่ห้องปฏิบัติการของกรมวิชาการเกษตร หรือ สถาบันบริการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ (IQS) ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้
ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์ฯ
- ได้ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเอาไปทำการเกษตรและลดต้นทุนการผลิต แต่ถ้าทำปุ๋ยแบบครัวเรือน ก็สามารถเอาปุ๋ยไปใส่ผักที่ปลูกในบ้าน จะได้ผักที่ปลอดภัย
- การลดการใช้สารเคมีเกษตรของเกษตรกร ทำให้ใช้ปุ๋ยเคมีน้อยลง ใช้ยาฆ่าแมลงน้อยลง
- ช่วยเพิ่มผลผลิต สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร
- ลดความเสี่ยงเรื่องสุขภาพ ทั้งของเกษตรกร และผู้บริโภค
- ลดปัญหาขยะชุมชน เพราะสามารถใช้เศษอาหาร ฟางข้าว เศษใบไม้ เศษผัก มาทำปุ๋ยได้ เพราะทุกวันนี้ ขยะอินทรีย์ในครัวเรือนหรือในชุมชน มีมากกว่า 60 % ของขยะที่มีการทิ้งทั้งหมด
- ลดปัญหาหมอกควันพิษจาก PM 2.5 ที่เกิดจากการเผาขยะ ใบไม้ ฟางข้าว หรือเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร รวมถึงการลดก๊าซเรือนกระจก
การทำปุ๋ยอินทรีย์ สามารถทำได้หลายวิธี ได้แก่
- การทำปุ๋ยกองใหญ่เพื่อใช้ในการทำการเกษตร หรือเพื่อการค้า ปริมาณประมาณ 5-10 ตันต่อการทำ 1 ครั้ง
- การทำปุ๋ยในวงตาข่ายเพื่อใช้ในครัวเรือน
- การทำปุ๋ยในตะกร้า เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีพื้นที่ในการทำปุ๋ย เช่น หอพัก บ้านที่ไม่มีพื้นที่ หรือทำไว้ใช้เองขนาดเล็ก เพื่อไว้ใช้ไนปริมาณไม่มาก
- การทำปุ๋ยในวงตาข่ายและใช้เศษอาหาร ในครัวเรือน หรือร้านค้า ต่าง ๆ
ปุ๋ยอินทรีย์ มีทั้งหมด 4 อย่างด้วยกัน
- ปุ๋ยหมัก จะมีการใช้เศษพืช ใบไม้ และมูลสัตว์ มาหมัก โดยจะย่อยสลายวัตถุดิบโดยจุลินทรีย์แบบใช้ออกซิเจน
- ปุ๋ยมูลสัตว์ คือใช้มูลสัตว์โดยตรงในการใส่พืชได้เลย
- ปุ๋ยพืชสด มีการไถกลบ เช่น ไถกลบฟางข้าว หรือตอซังข้าว เพื่อให้มีการคลุกเศษพืชลงไปในดินเรียกกว่าการทำปุ๋ยพืชสด
- ปุ๋ยน้ำชีวภาพ ใช้เศษอาหาร หอยเชอรี่ เปลือกผลไม้ เศษเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ตามด้วยกากน้ำตาล หมักในถังปิด จะย่อยสลายวัตถุดิบโดยจุลินทรีย์แบบไม่ใช้ออกซิเจน
ในสมัยก่อน การทำปุ๋ยหมัก จะใช้วิธีการนำเศษใบไม้ ใส่ลงไปในบ่อที่เตรียมไว้สำหรับทำปุ๋ย ตามด้วยมูลสัตว์ และคอยมาพลิกกลับกองเป็นระยะ เพื่อให้เกิดการย่อยสลาย ซึ่งทำให้เปลืองแรงงาน ใช้เวลานานกว่าจะย่อยสลายจนเป็นปุ๋ย ประมาณ 3-6 เดือน และไม่สามารถทำกองใหญ่ได้ ทางคณะนักวิจัย เลยคิดที่จะช่วยเกษตรกรในเรื่องของการทำปุ๋ยโดยไม่ต้องพลิกกลับกอง และได้ปุ๋ยในปริมาณที่มากพอในการใช้ทำการเกษตร โดยใช้ทฤษฎี 4 ข้อในการทำ
- สัดส่วนของคาร์บอน ที่มีในเศษพืช และไนโตรเจน ที่มีในมูลสัตว์ สำหรับการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์
- กองปุ๋ยจะต้องมีจุลินทรีย์ ที่อยู่ในมูลสัตว์ เพื่อใช้เป็นตัวย่อยเศษพืชที่ใช้ในการทำปุ๋ย
- กองปุ๋ยต้องมีความชื้น จุลินทรีย์จะได้ทำงานได้
- กองปุ๋ยต้องมีออกซิเจน
เมื่อก่อนตอนเริ่มวิจัย ในปี 2545 ได้มีการทำปุ๋ยด้วยระบบกองเติมอากาศเข้าไปในกองปุ๋ยด้วยพัดลม และต่อท่อ PVC เข้าไปในกองปุ๋ย เพื่อให้ออกซิเจนแทนการพลิกกลับกองปุ๋ย สามารถผลิตปุ๋ยให้เสร็จสิ้นกระบวนการภายใน 1 เดือน แต่การทำปุ๋ยแบบกองเติมอากาศ มีข้อจำกัด เช่น ต้องมีการลงทุนซื้อพัดลม ซึ่งมีราคาสูง เครื่องละประมาณ 18000 บาท ท่อ PVC เส้นละ 450 บาท และต้องใช้ไฟฟ้า เลยมีการต่อยอดการวิจัย ให้สะดวก ง่าย และถูกที่สุด เลยเกิดงานวิจัยการทำปุ๋ยหมักแบบไม่พลิกกอง “วิศวกรรมแม่โจ้ 1”
วัตถุดิบในการทำปุ๋ย
- เศษพืช สามารถใช้ได้ทุกชนิด เช่น แกนข้าวโพด เปลือกข้าวโพด เปลือกถั่ว ผักตบชวา กากหอม ใบไม้แห้ง ใบไม้สด ฟางข้าว ใช้ได้ทั้งสด และแห้ง เศษผัก เปลือกผลไม้ ฯลฯ กรณีที่เป็นเศษพืชขนาดใหญ่ จะต้องสับให้มีขนาดเล็กลง เศษอาหารก็สามารถนำมาทำได้เช่นกัน แต่จะมีวิธีการทำที่แตกต่างกันไป
- มูลสัตว์ เช่น ขี้วัว ขี้หมู ขี้ควาย ขี้ไก่ ถ้าเกษตรกรในพื้นที่เลี้ยงสัตว์อะไรก็สามารถใช้มูลสัตว์นั้นมาทำปุ๋ยได้ หรือถ้าไม่มีก็สามารถหาซื้อมูลสัตว์ที่มีราคาถูกที่สุดมาทำได้
- น้ำ ใช้น้ำประปา หรือน้ำตามธรรมชาติได้ทุกอย่าง นำมารดเพื่อเพิ่มความชื้นให้กองปุ๋ย
ขั้นตอนการทำปุ๋ยแปลงขนาดใหญ่ โดยการใช้เศษพืช
- นำฟางข้าวหรือเศษข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4 ส่วน วางเป็นชั้นบาง ๆ สูงเกิน 10 เซนติเมตร ฐานกว้าง 2.5 เมตร โดยไม่ต้องเหยียบ โปรยทับด้วยมูลสัตว์ 1 ส่วน แล้วรดน้ำ เช่น ฟาง 16 เข่ง หนา 10 ซม. โรยทับด้วยมูลสัตว์ 4 เข่ง เป็นต้น ทำเช่นนี้ 15-17 ชั้น รดน้ำแตะละขั้นให้มีความชื้น การขึ้นกองปุ๋ย ให้ขึ้นกองปุ๋ยเป็นรูปสามเหลี่ยมที่มีความสูง 1.5 เมตร กองปุ๋ยจะมีความยาวเท่าไหร่ก็ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณเศษพืชและมูลสัตว์ ความสำคัญของการที่ต้องเป็นชั้นบาง ๆ 15-17 ชั้นก็เพื่อให้จุลินทรีย์ที่มีอยู่ในมูลสัตว์ได้ใช้ทั้งธาตุคาร์บอนที่มีอยู่ในเศษพืชและธาตุไนโตรเจนที่มีในมูลสัตว์ในการเจริญเติบโต และสร้างเซลล์ซึ่งทำให้การย่อยสลายวัตถุดิบเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
- รักษาความชื้นภายในกองปุ๋ยให้มีความเหมาะสมอยู่เสมอตลอดเวลา (มีค่าประมาณร้อยละ 60-70) โดยมีขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 รดน้ำภายนอกกองปุ๋ยวันละครั้ง โดยไม่ให้มีน้ำไหลนองออกมาจากกองปุ๋ยมากเกินไป
ขั้นตอนที่ 2 เมื่อครบวันที่ 10 ใช้ไม้แทงกองปุ๋ยให้เป็นรูลึกถึงข้างล่างแล้วกรอกน้ำลงไป ระยะห่างของรูประมาณ 40 เซนติเมตร ทำขั้นตอนที่สองนี้ 5 ครั้ง ระยะเวลาห่างกัน 10 วัน เมื่อเติมน้ำเสร็จแล้วให้ปิดรู เพื่อไม่ให้สูญเสียความร้อนภายในกองปุ๋ย ขั้นตอนนี้แม้ว่าจะอยู่ในช่วงฤดูฝนก็ยังต้องทำเพราะน้ำฝนไม่สามารถไหลซึมเข้าไปในกองปุ๋ยได้ จากข้อดีที่น้ำฝนไม่สามารถชำระล้างเข้าไปในกองปุ๋ยได้ เกษตรกรจึงสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ด้วยวิธีนี้ในฤดูฝนได้ด้วย
ภายในเวลา 5 วันแรก กองปุ๋ยจะมีค่าอุณหภูมิสูงขึ้นมาก บางครั้งสูงถึง 70 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับกองปุ๋ยที่ทำได้ถูกวิธี ความร้อนสูงนี้เกิดจากกิจกรรมการย่อยสลายของจุลินทรีย์ (จุลินทรีย์มีมากมายและหลากหลายในมูลสัตว์อยู่แล้ว) และความร้อนสูงนี้ยังเป็นสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมกับการทำงานของจุลินทรีย์ในกองปุ๋ยอีกด้วย (จุลินทรีย์กลุ่ม Thermophiles และ Mycophiles) หลังจากนั้น อุณหภูมิจะค่อย ๆ ลดลง จนมีค่าอุณหภูมิปกติที่อายุ 60 วัน
- เมื่อกองปุ๋ยมีอายุครบ 60 วัน ก็หยุดให้ความชื้น กองปุ๋ยจะมีความสูงเหลือเพียง 1 เมตร แล้วทำปุ๋ยอินทรีย์ให้แห้ง เพื่อให้จุลินทรีย์สงบตัว (Stabilization Period) และไม่ให้เป็นอันตรายต่อรากพืช วิธีการทำปุ๋ยอินทรีย์ให้แห้งอาจทำโดยทิ้งไว้ในกองเฉย ๆ ประมาณ 1 เดือน หรืออาจแผ่กระจายให้มีความหนาประมาณ 20-30 ซม. ซึ่งจะแห้งภายใน 3-4 วัน สำหรับผู้ที่ต้องการจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ก็อาจนำปุ๋ยอินทรีย์ที่แห้งแล้วไปตีป่นให้มีขนาดเล็กสม่ำเสมอ ซึ่งจะมีราคาประมาณกิโลกรัมละ 5-7 บาท สามารถเก็บได้นานหลายปี
กองปุ๋ยที่สูง 1.5 เมตรจะสามารถเก็บกักความรู้ที่เกิดจากปฏิกิริยาย่อยสลายของจุลินทรีย์เอาไว้ในกองปุ๋ย ความร้อนนี้นอกจากจะเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับจุลินทรีย์ชนิดชอบความร้อนสูงที่มีในมูลสัตว์แล้ว เมื่อความร้อนนี้ลอยตัวสูงขึ้น จะทำให้อากาศภายนอกที่เย็นกว่าไหลเวียนเข้าไปในภายในกองปุ๋ย ซึ่งเกิดจากการพาความรู้ (Chimney Convection) อากาศภายนอกที่ไหลหมุนเวียนเข้ากองปุ๋ยนี้จะช่วยทำให้เกิดการย่อยสลายของจุลินทรีย์แบบใช้ออกซิเจน (Aerobic Decomposition) ทำให้ไม่ต้องมีการพลิกกลับกอง และช่วยให้กองปุ๋ยไม่มีกลิ่นหรือน้ำเสียใด ๆ
ในการทำปุ๋ยหมักแบบนี้ สามารถที่จะใช้พืชแบบคละกันได้ เช่น ชั้นแรกใช้ใบไม้ ตามด้วย มูลสัตว์ ชั้นที่ 2 อาจเป็นเศษฟางข้าว ตามด้วยมูลสัตว์ แล้วชั้นที่ 3 อาจเป็นเปลือกถั่ว ตามด้วยมูลสัตว์ เป็นต้น
การทำปุ๋ยหมักในวงตาข่ายแบบไม่พลิกกลับกองจากเศษพืช
เหมาะสมกับทำในบ้าน หรือที่มีพื้นที่ขนาดเล็ก ใช้หลักการเดิม แต่มาใช้วงตาข่ายแบบลวด หรือพลาสติก หาซื้อได้จากร้านวัสดุเกษตรทั่วไป เอามาขด มัดลวดให้เรียบร้อย ให้มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เมตร กรณีที่เป็นไม้ไผ่ ให้เอาไม้ไผ่ตีเป็นแตะ กว้าง 1 เมตร ยาว 1 เมตร ด้านข้างต้องโปร่ง เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ วิธีการทำ ให้โรยเศษพืชลงไปให้หนา 10 ซม. โรยมูลสัตว์ 1 ส่วน หนาประมาณ 2-3 ซม. และรดน้ำ ทำเป็นชั้น ๆ ไปได้เรื่อย ๆ หรือสามารถเติมเศษพืชเข้าไปตามปริมาณที่มีในช่วงเวลานั้น ๆ ได้ เติมสลับกันไปเรื่อย ๆ จนเต็มวง การดูแล ก็จะมีการเติมน้ำรดบริเวณด้านบนและโดยรอบ วันละ 1 ครั้ง หรือ 3-4 วันครั้งก็ได้ และทุก ๆ 10 วันต้องเจาะรูปเพื่อเติมน้ำในกองปุ๋ย กรณีในวงตาข่าย จะเจาะประมาณ 5 รูป โดยเจาะตรงกลาง และอีก 4 จุด รอบจุดตรงกลาง ให้มีระยะห่างพอสมควร เพื่อให้น้ำลงไปถึงปุ๋ยในแต่ละชั้น โดยจะสังเกตได้ว่า ใบไม้และขี้วัว จะต้องมีความชุ่มชื่นตลอด ตลอดระยะเวลาการหมัก 2 เดือน ในการทำปุ๋ยแบบไม่พลิกกองของแม่โจ้ จะไม่เอากิ่งไม้ เพราะกิ่งไม้ไม่สามารถย่อยสลายกิ่งไม้ได้ การทำปุ๋ยแบบวงตาข่าย สามารถนำไปประยุกต์ใช้ใน โรงเรียน หรือหน่วยงานต่าง ๆ ได้ด้วย พอมาลองคิดคำนวณต้นทุนการทำปุ๋ยแบบวงตาข่าย จะใช้ต้นทุนดังนี้ คือ ขี้วัว 4 กระสอบ กระสอบละ 25 บาท เป็นเงิน 100 บาท ค่าตาข่าย 3 เมตร ราคา 100 บาท รวมต้นทุน 200 บาท ได้ปุ๋ย 2 เข่ง ได้ 4 กระสอบ สามารถลดต้นทุนการซื้อปุ๋ยได้ ประมาณ 1000 บาท เพราะปุ๋ยอินทรีย์ที่ขายกัน จะขายกันกระสอบละ 300 บาท ถ้าซื้อ 4 กระสอบ ก็จะใช้เงิน 1200 บาท แต่ถ้าทำเอง ต้นทุน 200 ได้ 4 กระสอบ แปลว่า เราซื้อปุ๋ย 4 กระสอบนี้ในราคาแค่ 200 บาทเท่านั้น
การทำปุ๋ยหมักในเข่งแบบไม่ต้องพลิกกอง
มีวิธีการทำแบบเดียวกับ แบบวงตาข่าย พอทำเสร็จแล้ว ก็นำไปตากแห้ง ไม่ว่าจะเป็นการผึ่งลม หรือตากแดด
การทำปุ๋ยแบบเศษอาหาร
จะมีสัดส่วนที่แตกต่างจากเศษพืช โดยจะมีสัดส่วนของเศษอาหาร 1-1.5 ส่วน รวมกับเศษพืช 1-1.5 ส่วน ใส่มูลสัตว์ 1 เศษอาหารเอาเฉพาะกาก ไม่เอาน้ำ และเศษกระดูกที่มีขนาดใหญ่ การทำในชั้นแรก จะยังไม่ใส่เศษอาหาร เริ่มใส่เศษอาหารตั้งแต่ชั้นที่ 2 เป็นต้นไป หนาแค่ 5 ซม และเว้นบริเวณด้านข้างไว้ สัก 10 ซม. ไม่ใส่เศษอาหารชิดขอบของวงตาข่าย เพื่อป้องกันแมลงวัน และใส่ใบไม้ตามลงไป เพื่อให้เศษใบไม้ไปคลุมบริเวณช่องว่างด้านข้างของเศษอาหาร 5 ซม. ตามด้วยมูลสัตว์ รดน้ำเหมือนเดิม เหตุผลที่ชั้นแรก ใช้เศษพืชและมูลสัตว์ เพื่อกันไม่ให้น้ำจากเศษอาหาร ไหลลงสู่พื้นที่อาจทำให้เกิดการเน่าเสีย มีกลิ่น และมีแมลงวัน พอในชั้นที่ใส่เศษอาหาร ยังใส่เศษพืชและมูลสัตว์ทับลงไปอีกรอบ นั่นเป็นการทำ Bio Filter หรือตัวกรองธรรมชาติ กรองทั้งแมลงวันและกลิ่น พอในชั้นต่อ ๆ ไป ก็ใส่แบบเดิม การเติมน้ำเหมือนการทำปุ๋ยแบบตาข่าย เจาะตรงกลาง และรอบ ๆ ทั้ง 4 ทิศ มีระยะห่างพอสมควร ทุก 10 วัน พอครบ 2 เดือน เอาปุ๋ยออกมาตากให้แห้ง แล้วนำไปใช้ได้ตามปกติ ถ้าใช้ไม่หมด เก็บใส่กระสอบแล้วเก็บในที่ร่มสามารถเก็บไว้ได้นาน
การนำปุ๋ยไปใช้
พืช | การใส่ปุ๋ยอินทรีย์ |
นาข้าว | 300-3,000 กก./ไร่ ต่อปี |
ไม้ผล | 50 กก./ต้น ต่อปี |
พืชผัก | 2 กก./ตารางเมตร |
อ้อย | 600-1,200 กก./ไร่ ต่อปี |
ไม้กระถาง | 1 กำมือ (ปีละ 3-4 ครั้ง) |
ดินกระถาง | ดิน 4 ส่วน+ปุ๋ยอินทรีย์ 1 ส่วน |
สามารถติดตามความเคลื่อนไหว เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในการทำปุ๋ยหมักวิศวกรรมแม่โจ้ ได้ที่ กลุ่ม Facebook : แลกเปลี่ยนความรู้การทำปุ๋ยหมักวิศวกรรมแม่โจ้ ซึ่งในกลุ่มมีการสอนทำปุ๋ยหมัก การปลูกผักอินทรีย์ การทำดินปลูก การนำปุ๋ยไปใช้ให้ถูกวิธี และยังมีการสอนการทำปุ๋ยหมักทาง Youtube อีกด้วย
นักวิจัย :
ผศ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญากูร
อ.รชต เชื้อวิโรจน์
ผศ.ดร ชนวัฒน์ นิทัศน์วิจัย
อ.ดร. แสนวสันต์ ยอดคำ
อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมและอุตสาหกรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้
Source:
1. การผลิตปุ๋ยอินทรีย์ปริมาณมากแบบไม่พลิกกลับกอง “วิธีวิศวกรรมแม่โจ้ 1” โดย ผศ.ธีระพงษ์ สว่างปัญญากูร
2. การบรรยายเรื่อง “ปุ๋ยหมักแบบไม่พลักกอง วิศวกรรมแม่โจ้ 1” โดย อ.ดร. แสนวสันต์ ยอดคำ ณ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยแม่โจ้
Complier: Yaowapa Kuankhum