การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ 

อะโวคาโด (Persea americana) เป็นไม้ผลเขตร้อนและกึ่งร้อนที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากมีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะไขมันชนิดดีที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ การผลิตอะโวคาโดที่มีคุณภาพต้องอาศัยความรู้ด้านสายพันธุ์ การขยายพันธุ์ และการดูแลรักษาต้นให้เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีและสามารถแข่งขันในตลาดได้


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของอะโวคาโด

อะโวคาโดเป็นไม้ผลยืนต้นที่มีความสูง 6-18 เมตร ลำต้นมีเปลือกสีน้ำตาลอ่อนและผิวขรุขระ กิ่งเปราะหักง่าย ใบมีสีเขียวสดเป็นมัน ใบเดี่ยวเรียงสลับ ขนาดใบยาวประมาณ 8-40 เซนติเมตร และกว้าง 5-18 เซนติเมตร

ดอกของอะโวคาโดออกเป็นช่อแบบ Panicle ที่ปลายกิ่ง มีขนาดเล็ก สีเขียวอมเหลือง เกสรตัวผู้มีสองวง คือวงนอก 6 อัน และวงใน 3 อัน ดอกอะโวคาโดมีระบบการบานที่ซับซ้อน ส่งผลต่อการผสมเกสรและการติดผล


การผสมเกสรของอะโวคาโด

อะโวคาโดมีระบบการบานของดอกที่แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่:

  1. ประเภท A: ดอกตัวเมียบานในช่วงเช้าและพร้อมรับการผสม แต่เกสรตัวผู้จะบานในช่วงบ่ายของวันถัดไป ทำให้ต้องปลูกคู่กับพันธุ์ประเภท B เพื่อเพิ่มโอกาสการผสมเกสร ตัวอย่างพันธุ์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Hass, Peterson, Lula, Choquette
  2. ประเภท B: ดอกตัวเมียบานในช่วงบ่ายของวันแรก และดอกตัวผู้จะบานในช่วงเช้าของวันถัดไป ทำให้พันธุ์กลุ่มนี้สามารถผสมตัวเองได้ง่ายกว่า ตัวอย่างพันธุ์ในกลุ่มนี้ ได้แก่ Booth 7, Booth 8, Fuerte, Kampong, Hall, Ruehle

การปลูกอะโวคาโดเพื่อการค้าแนะนำให้ปลูกพันธุ์ A และ B ควบคู่กันเพื่อเพิ่มโอกาสในการผสมเกสรและติดผล


พันธุ์อะโวคาโดที่แนะนำสำหรับการค้า

พันธุ์อะโวคาโดที่เหมาะสมสำหรับการค้าในประเทศไทย ได้แก่:

  • Hass – ผลขนาดเล็กถึงกลาง (200-300 กรัม) ผิวขรุขระ เนื้อแน่น ไขมันสูง (20%)
  • Fuerte – ผลขนาดเล็กถึงกลาง (200-350 กรัม) เปลือกบาง ผิวเรียบ เนื้อครีม
  • Booth 7 & Booth 8 – ผลขนาดกลาง (300-500 กรัม) เปลือกหนา ผิวขรุขระเล็กน้อย
  • Pinkerton – ผลขนาดกลาง (200-300 กรัม) ทรงยาว เปลือกขรุขระ เนื้อแน่น

การขยายพันธุ์อะโวคาโด

อะโวคาโดสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี ได้แก่:

  1. การเพาะเมล็ด – ใช้เมล็ดจากผลที่สุกเต็มที่ คัดเลือกเมล็ดที่สมบูรณ์ ไม่มีโรค ใช้เป็นต้นตอ
  2. การต่อกิ่ง (Grafting) – นิยมใช้เพื่อให้ได้ต้นที่มีลักษณะตรงกับพันธุ์แม่ มีหลายรูปแบบ เช่น การเสียบยอด การเสียบข้าง
  3. การติดตา (Budding) – ใช้วิธี “Shield Budding” โดยเลือกตาจากกิ่งที่มีอายุพอเหมาะ

การปลูกและดูแลอะโวคาโด

  1. สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
    • ดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี pH 5.5-6.5
    • อุณหภูมิที่เหมาะสม 15-25°C
    • ต้องการน้ำสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงออกดอกและติดผล
  2. การใส่ปุ๋ย
    • ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ควบคู่กับปุ๋ยเคมี
    • ให้ไนโตรเจนสูงในช่วงแรก และเพิ่มโพแทสเซียมในช่วงติดผล
  3. การจัดการศัตรูพืช
    • โรครากเน่า: ควบคุมด้วยต้นตอที่ทนทาน และปลูกในดินที่ระบายน้ำดี
    • เพลี้ยไฟ: ควบคุมด้วยสารชีวภัณฑ์หรือสารเคมีที่เหมาะสม

อะโวคาโดเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูง หากเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมและมีการจัดการแปลงปลูกที่ดี สามารถให้ผลผลิตที่มีคุณภาพและมีมูลค่าสูงในตลาดได้ การศึกษาวิธีการปลูก ขยายพันธุ์ และดูแลรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตอะโวคาโดที่มีคุณภาพและแข่งขันในตลาดได้อย่างยั่งยืน


ผู้เขียน: นิคม วงศ์นันตา
หน่วยงาน: สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้

แหล่งข้อมูล : https://kb.mju.ac.th/article.aspx?id=4155

เอกสารฉบับเต็ม : https://maejo.link/Ga0P