อควาโปนิกส์-ปลูกผักและเลี้ยงปลาระบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ดารชาต์ เทียมเมือง
คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ
ระบบอควาโปนิกส์ (Aquaponics) เป็นนวัตกรรมการเกษตรที่ผสมผสานระหว่างการเลี้ยงสัตว์น้ำและการปลูกพืชแบบไร้ดิน (ไฮโดรโปนิกส์) เข้าด้วยกัน ระบบนี้อาศัยหลักการที่ว่าน้ำทิ้งจากการเลี้ยงสัตว์น้ำอุดมไปด้วยธาตุอาหารที่จำเป็นสำหรับพืช โดยเฉพาะสารประกอบไนโตรเจน เช่น แอมโมเนียหรือไนเตรท พืชจะดูดซึมสารอาหารเหล่านี้ไปใช้ในการเจริญเติบโต ทำให้น้ำมีความสะอาดเพียงพอที่จะนำกลับมาใช้ใหม่ในระบบการเลี้ยงสัตว์น้ำได้ ระบบอควาโปนิกส์จึงเป็นวิธีการเพาะเลี้ยงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร
รูปแบบของระบบอควาโปนิกส์
ระบบอควาโปนิกส์สามารถแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบหลัก ได้แก่:
1. ระบบแบบลอยหรือแบบรากแช่ลึก: น้ำจะไหลเวียนแบบต่อเนื่องจากถังเลี้ยงปลาผ่านตัวกรองขนาดใหญ่และตื้น พืชจะปลูกบนแพที่ลอยอยู่ในภาชนะ โดยรากของพืชจะแขวนลอยอยู่ในน้ำ
2. ระบบแบบรากแช่ตื้น: พืชจะปลูกในรางปลูกแบบต่างๆ น้ำที่มีแร่ธาตุจะไหลเคลือบรากพืชเป็นเยื่อบางๆ ทำให้รากพืชเปียกชื้นตลอดเวลา
3. ระบบแบบรากยึด: ทั้งน้ำและตะกอนจากถังเลี้ยงปลาจะถูกสูบสู่กระบะปลูกพืช ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกรองชีวภาพ ของแข็งจะถูกสลายในกระบะปลูกพืชจนกลายเป็นแร่ธาตุต่างๆ ที่พืชต้องการ
การจัดการระบบอควาโปนิกส์
การจัดการคุณภาพน้ำ
คุณภาพน้ำเป็นปัจจัยสำคัญในระบบอควาโปนิกส์ น้ำที่ใช้ควรมีคุณสมบัติดังนี้:
– มี pH เป็นกลาง (ช่วง 5.5-7)
– ไม่มีความกระด้างที่ทำให้เกิดการสะสมเกลือหรือธาตุอาหารบางอย่าง
– ปราศจากเชื้อสาเหตุโรคพืช
การจัดการธาตุอาหาร
ธาตุอาหารที่สำคัญสำหรับพืชในระบบอควาโปนิกส์แบ่งเป็น 2 กลุ่ม:
1. ธาตุอาหารหลัก (Macro elements): C, O, N, P, K, Ca, Mg, S
2. ธาตุอาหารรอง (Micro elements): Fe, Cl, B, Mn, Cu, Zn, Mo
การตรวจสอบและควบคุมระดับธาตุอาหารทำได้โดยการวัดค่าการนำไฟฟ้า (EC) และระดับความเป็นกรดด่าง (pH) ของสารละลาย
การเลี้ยงปลาในระบบอควาโปนิกส์
ปลาที่นิยมเลี้ยงในระบบอควาโปนิกส์ ได้แก่ ปลานิล ปลาคาร์พ ปลาดุก ปลาตะเพียนขาว และปลาหมอไทย โดยปลานิลเป็นที่นิยมมากเนื่องจากมีความอดทนและสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมในบ่อเลี้ยงได้ดี
ความหนาแน่นในการปล่อยปลาขึ้นอยู่กับขนาดของถังและชนิดของตัวกรองที่ใช้ในระบบ โดยทั่วไปมีข้อกำหนดว่าปล่อยปลาขนาด 1 นิ้วต่อน้ำ 1 แกลลอน หรือในระบบขนาดใหญ่อาจปล่อยปลาได้ 60 ถึง 100 กิโลกรัมต่อน้ำ 1 ตัน
การปลูกพืชในระบบอควาโปนิกส์
พืชที่นิยมปลูกในระบบอควาโปนิกส์มักเป็นพืชผักสวนครัว เช่น ผักสลัดชนิดต่างๆ ผักกาดขาว ผักโขม และผักบุ้ง โดยพืชแต่ละชนิดต้องการค่า EC และ pH ที่แตกต่างกัน เช่น:
– คะน้าเห็ดหอม: EC 4.5 mS/cm, pH 5.5-6.5
– สลัด: EC 1.8-2.0 mS/cm, pH 5.5-6.5
– ผักบุ้ง: EC 2.0 mS/cm, pH 5.5-6.5
การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว
การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวมีความสำคัญต่อคุณภาพของผลผลิต ขั้นตอนสำคัญได้แก่:
1. การตัดแต่ง
2. การทำความสะอาด
3. การคัดคุณภาพและขนาด
4. การบรรจุหีบห่อ
5. การลดอุณหภูมิ
6. การขนส่งและจำหน่าย
ต้นทุนและผลตอบแทน
การลงทุนในระบบอควาโปนิกส์มีต้นทุนที่สูงกว่าการเลี้ยงปลาหรือปลูกผักแบบทั่วไป แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเช่นกัน จากการศึกษาพบว่า:
– ต้นทุนทั้งหมดจากการเลี้ยงปลาในระบบอควาโปนิกส์: 41.09 บาท/กก.
– ต้นทุนทั้งหมดจากการปลูกผัก: 52.5 บาท/กก.
– ราคาขายปลา: 80 บาท/กก.
– กำไร: 38.91 บาท/กก.
– อัตราส่วนผลตอบแทน: 2.47
– ระยะเวลาคืนทุน: 5.52 ปี
การตลาด
ตลาดสำหรับผลผลิตจากระบบอควาโปนิกส์มักเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม เช่น ตลาดสินค้าอินทรีย์ ตลาดสินค้าเพื่อสุขภาพ ตลาดส่งออก และตลาดผักปลอดภัยจากสารพิษ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้แก่ ร้านอาหาร ภัตตาคาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรม
ระบบอควาโปนิกส์เป็นนวัตกรรมการเกษตรที่มีศักยภาพสูงในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แม้จะมีต้นทุนการลงทุนที่สูง แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การจัดการระบบที่มีประสิทธิภาพและการเข้าถึงตลาดที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การดำเนินธุรกิจอควาโปนิกส์ประสบความสำเร็จ
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://kb.mju.ac.th/assets/img/articleFile/256612146d76f5bf47134ccf89037ae2fe2d72e3.pdf
ทิพสุคนธ์ พิมพ์พิมล
ติดต่อและสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ :ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดารชาต์ เทียมเมือง, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทิพสุคนธ์ พิมพ์พิมล สังกัด : คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ โทรศัพท์ : 053-875100-2
มหาวิทยาลัยแม่โจ้
2566
ภาคเหนือ