บันทึกการเดินทางไปยอดเขาดอยปุย เพื่อศึกษาวิชาพฤกษศาสตร์


ของ ล และ ส

เมื่อทางโรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้สอนวิชาพฤกษศาสตร์ แก่นักศึกษาจนจบหลักสูตรแล้ว ทางโรงเรียนมักจะพานักศึกษาไปเที่ยวเขาปุย เพื่อให้ได้มีโอกาสได้รู้ ได้เห็นพืชต่าง ๆ บางชนิดหรือได้เห็นพืชชนิดเดียวกันนั้น แต่ขึ้นในที่ต่าง ๆ กัน จะมีลักษณผิดกันอย่างไรบ้าง นอกจากการไปศึกษาวิชาพฤกษศาสตร์โดยเฉพาะแล้ว โอกาสเดียวกินนี้ก็เหมือนกับว่าได้พาไปตากอากาศบนภูเขาประการหนึ่ง กับได้ไปสักการะและเห็นปูชนียะสถานซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวเชียงใหม่ นอกจากคณะครูอาจารย์ 5 ท่านแล้ว พวกเราทั้งหมด 79 คนด้วย

เวลา 13.30 น. พวกเราไปพร้อมกันที่เชิงดอยสุเทพ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของตัวเมือง ห่างจากในเมืองประมาณ 5 กิโลเมตร พวกเราทุกคนเมื่อมาพร้อมกันตามนัดหมายแล้วก็ได้เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางขึ้นดอยต่อไป เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ และอาหารบางอย่างนั้น พวกเราต่างก็หอบหิ้วหาบหามไปเองทั้งนั้น ทั้งนี้เนื่องจากเรามีนิสัยเคยชินต่อความลำบากต่องานชนิดนี้มาแล้ว แม้บางคนจะมีของหนักไปบ้าง ก็ไม่รู้สึกแปลกอะไรเลย ทางที่ขึ้นไปจากเชิงเขาเพราะในระยะนี้ไม่สู้จะชันนัก แต่ถึงกระนั้นก็ดีประมาณ 15 นาทีต่อมาก็ทำให้พวกเรารู้สึกเหนื่อยหอบเอาการอยู่ พวกเราต่างแยกกันออกเดินเป็นหมู่ ๆ หมู่ละ 2-3 คนบ้าง 4-5 คน ตามสมัครใจ ใครมีร่างกายดีกว่าก็เดินขึ้นหน้าไปก่อน ใครที่ไม่ชอบโลดโผนนักก็เดินไปพักไปเรื่อย ๆ เราเดินอยู่ราว 45 นาที ก็ถึงสถานที่ซึ่งเป็นที่พักแห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ผาลาด” เมื่อพวกเราหยุดพักพอหายเหนื่อยและดื่มน้ำแก้กระหายแล้วก็ออกเดินทางต่อไป

ระยะทางจากผาลาดขึ้นไปนั้น เราต่างรู้สึกว่าออกจะชื้นมากในบางตอน ยิ่งกว่านั้น ฝนได้ตกลงมาอย่างหนักในตอนแรกแล้วยิ่งแถมตกมาอีกเรื่อย ๆ ทำให้เข้าของบางอย่างถึงกับเปียกและทำให้ทางลื่นมากขึ้น แต่พวกเราก็ได้ฝ่าอุปสรรคในเรื่องฝนและความยากอื่น ๆ ไปได้ทั้งหมด สำหรับในวันนี้เราไม่ค่อยพบพืชที่แปลกและที่น่าสนใจมากนัก เราพบพืชที่เราไม่เคยเห็นบ้าง เมื่อสงสัยก็ได้ไต่ถามจากคณะครูอาจารย์ ซึ่งได้แยกทางกันเดินไปในหมู่ของพวกเรา เพื่อคอยช่วยแก้ปัญหาและแนะนำในแง่พฤกษศาสตร์เป็นอย่าง ๆ ไป คณะครูอาจารย์บอกพวกเราว่าสำหรับวันนี้ไม่สู้มีอะไรมากนัก เพราะเป็นป่าธรรมดา พืชต่าง ๆ ไม่ค่อยผิดกับที่ราบในเมืองนัก พวกเราทั้งหมดได้ไปถึงที่พระธาตุเรียบร้อยเวลาราว 16.30 น. ที่รอบ ๆ ลานพระธาตุนั้นมีผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนาได้สร้างศาลาที่พักไว้หลายหลัง แม้พวกเราต่างก็เลือกที่พักได้ทั้หมดและยังปรากฎว่ามีที่พักเหลืออยู่มากมาย นอกจากนี้แล้วยังมีน้ำท่าบริบูรณ์ ฉะนั้นเรื่องที่พักเราตึงไม่รู้สึกเดือดร้อนเลย

หลังจากที่ได้เก็บเข้าของและจัดที่พักเรียบร้อยแล้ว เราก็ลงมือรับประทานอาหารเย็น เวลา 18.00 น. คณะครู อาจารย์ และพวกเราทุกคนได้ไปประชุมพร้อมกันที่ลานพระธาตุ เมื่อได้ทำการสักการะพระธาตุและสวดมนต์แล้ว คณะครูอาจารย์ได้แนะนำบางสิ่งบางอย่างแก่เราในเรื่องเกี่ยวกับ พระธาตุดอยสุเทพ เสร็จแล้วพวกเราต่างก็แยกกันไปที่พัก เพื่อพักผ่อนเตรียมตัวเดินทางในวันรุ่งขึ้น

วันที่ 18 สิงหาคน พ.ศ. 2483

เวลา 7.00 น. พวกเราทุกคนต่างรับประทานอาหารเช้าเสร็จ และเราได้เตรียมตัวไปยอดเขาปุย คณะครู อาจารย์ ได้เรียกประชุมพวกเราทั้งหมดเพื่อแนะนำให้เรื่องเกี่ยวกับพฤกษศาสตร์ ประการแรกท่านให้พวกเราทั้งหมดเดินทางเป็นหมู่เดียวกันเท่านั้น และต้องเดินตามหลังคณะครูอาจารย์ด้วย เพราะเมื่อพบเห็นสิ่งใดที่แปลกน่ารู้ แล้วจะได้ขี้ให้ดูเป็นอย่าง ๆ ไป นอกจากนี้ท่านได้เล่าถึงชนิดของป่าที่เราจะผ่านไป และได้กล่าวถึงพืชย่อมทำตัวของมันให้เหมาะสมต่อสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งแวดล้อมย่อมทำให้ พืชชนิดเดียวกันมีลักษณะผิดแปลกกันไป เช่น น้ำ ชนิดของดิน อุณหภูมิของอากาศ ระดับของดิน แสงสว่าง และลม เหล่านี้ อาจทำให้เจริญผิดกันได้ ท่านได้อธิบายอยู่ราวครึ่งชั่วโมง แล้วจึงได้พากันออกเดินทาง

การเดินทางไประยะนี้เราไปกันอย่างช้า ๆ คอยสังเกตพืชต่าง ๆ ที่ผ่านไปบ้าง คอยฟังคณะครู อาจารย์ จะบอกอะไรบ้าง โดยมากพวกเราสนใจในต้นไม้ใหญ่ ๆ ซึ่งขึ้นอยู่ตามป่านั้นแต่น้อย เราสนใจมากก็คือพืชที่แปลก และโดยเฉพาะพที่เรียกว่า “พืชชั้นต่ำ” ระยะนี้เราได้พบเฟริน และมอสกับพืชชั้นต่ำอื่น ๆ อีกหลายชนิด เราได้เก็บพืชที่แปลกและน่าสนใจติดมือไปคนละอย่างสองอย่างเรื่อย ๆ  พากันเดินไปราวหนึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเขาเรียกกันว่า “บวกห้า” สถานที่นี้ไม่มีอะไรแปลกนอกจากมีบ้านพักส่วนบุคคลอยู่หลังหนึ่ง เมื่อได้พักผ่อนพอควรแล้ว เวลา 10.00 น. เราออกเดินทางต่อไป เดินจากบวกห้าตรงไปทิศตะวันตก มุ่งตรงไปยังเขาลูกหนึ่งซึ่งเรียกว่า “แหลมสน”ทางที่เราไปนี้ลาดลงไปเรื่อย ๆ ราวครึ่งชั่วโมงต่อมาเราก็ถึงแหลมสน ที่แหลมสนนี้เราได้เห็นต้นสนเป็นจำนวนมาก ขึ้นอยู่บนเทือกเขา ซึ่งมีลักษณะคล้ายแหลมยื่นไปในอากาศ ที่ปลายแหลมชันมาก จนพวกเราไม่กล้าจะลงต่อไปอีก กลับย้อนขึ้นมาทางเก่าอีกครึ่งชั่วโมงแล้วเลี้ยวซ้ายตรงไปยอดเขาปุย

ขณะนี้เรามุ่งตรงไปทางทิศเหนือ ทางในระยะนี้เรารู้สึกลำบากมากอยู่ เพราะทางสายนี้ไม่ค่อยมีใครเดิน ยิ่งฤดูฝนด้วยแล้วกษหาคนเดินยาก ตลอดทางเราไม่ได้พบคนเดินผ่านเราเลย ถึงแม้ทางจะเป็นเขาซึ่งสูงชันนักก็ตาม แต่ทว่ายาวเอามากถึงคราวขึ้นเราก็ขึ้นเสียจนเบื่อ ถึงคราวที่ลาดลงก็เอาเสียจนชักระอาใจ ฝนได้ตกลงมาอย่างประปรายเพิ่มความหนาวเยือกเย็นให้เราอีกไม่น้อย มีสิ่งที่บังคับเราอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทางเดินนั้นเราต้องเดินเรียงหนึ่งเท่านั้น พวกเราต่างเดินเป็นแถวยาวยืดและรู้สึกว่าความหนาวได้ทวีขึ้นเป็นกำลัง เมื่อวานนี้ และเมื่อกี้นี้เราได้ถกเถียงกันถึงเรื่องพืชจนลั่นป่า เดี๋ยวนี้พวกเราชักเหนื่อยเอามาก เสียงเช่นนั้นในระยะนี้ได้หายไปหมดแล้ว ความหนาวของป่าที่ทึบ และความสูงทำให้เรารู้สึกวิเวกวังเวง บางครั้งเราได้ยินแต่เสียงเท้ากระทบกับพื้นดินและเสียหายใจอันหอบโหยของพวกเราเท่านั้น นาน ๆ จึงจะได้ยินคำพูดประโยคสั้น ๆ สักประโยคหนึ่ง ทำให้เราคิดไปว่า เราพากันมาทำไมหนอในที่เช่นนี้

ถึงแม้ว่าจะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยบ้างก็ดี แต่เมื่อนึกถึงแง่ความรู้แล้ว เราอยากพบของใหม่เรื่อย ๆ เพราะพวกเราชอบเรียน ความเหน็ดเหนื่อยไม่ทำให้เราขาดการสังเกต พิจารณาดูพืชที่เราพบเห็นในชณะที่เราผ่านไป และได้ไต่ถามปัญหาต่าง ๆ อันเกิดขึ้นเฉพาะหน้าจากคณะ ครู อาจารย์ซึ่งท่านได้พยายามชี้แจง และพยายามอธิบายให้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเสมอ บางอย่างเราถามไม่ทันก็ได้บันทึกไว้ ในสมุดซึ่งเอาติดมือไปด้วย นอกจากนี้พวกเราต่างก็ได้เก็บพืชที่ไม่เคยรู้จักและที่สนใจนั้นติดมือไปคนละไม่ต่ำกว่าสิบชนิด เราได้เห็นความแตกต่างของพืชซึ่งมีในตำราโดยใกล้ชิด เวลา 13.00 น. เราทั้งหมดก็ได้ถึงยอดเขาปุย เมื่อเราได้ไต่ถามปัญหาต่าง ๆ จากคณะครูอาจารย์เป็นที่พอใจแล้ว จึงได้แยกกันพักผ่อน รับประทานอาหารกลางวันในบ้านพักส่วนบุคคลซึ่งว่างอยู่สามสี่หลัง

เวลา 15.30 น. คณะครูอาจารย์เรียกประชุมพวกเราทั้งหมด วึ่งได้เตรียมตัวเดินทางกลับเรียบร้อยแล้ว ท่านได้อธิบายถึงพืชบางอย่าง และอนุญาตให้พวกเราเดินทางลงมากก่อน เพราะท่าได้ให้ดูและอธิบายถึงสั่งที่จำเป็นหมดแล้ว แต่พวกเราไม่ลืมที่จะเอาพืชบางบอย่างติดมือมาด้วย เพื่อจะได้สังเกตและพิจารณาและศึกษาต่อไป พวกเราต่างแยกกันออกเดินเป็นหมู่ ๆ วิ่งบ้างเดินบ้าง ตลอดทาง โดยมากชอบวิ่งเพราะเร็วทันใจดี แต่ทางค่อนข้างจะลื่น ใครวิ่งเก่งก็หกล้มเก่ง พวกเราที่วิ่งต่างก็รู้กันอยู่แล้วว่า หกล้มแล้วไม่ว่า ขออย่าให้ถึงหามก็แล้วกัน

เวลา 16.30 น. พวกเราก็ถึงที่พักดอยสุเทพทุกคน เป็นว่าเราเดินทั้งขึ้นและทั้งลงเป็นยะยะทางมากกว่าสิบกิโลเมตร

คืนวันที่ 18 ในคืนวันที่ 17 นั้น พวกเราไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเท่าใดนัก จึงจับกลุ่มคุยกันเรื่อย ๆ ถึงเรื่องการเรียนบ้าง การอาชีพบ้าง การเดินทางบ้าง และเรื่องต่าง ๆ บ้าง บางหมู่ก็เที่ยวชมสถานที่บริเวณพระธาตุสุเทพ บางหมู่ ก็นั่งชมสวิวนครเชียงใหม่ ซึ่งกว่าจะนอนได้ก็เกือบสองยาม ตรงข้าวกับคืนวันที่ 18 ซึ่งเวลา 18.00 น. เราได้ประชุมพร้อมกันสวดมนต์ไหว้พระ พอถึงเวลา 20.00 น. เราจะเห็นว่าแสงไฟของพวกเรามืดไปหมด ไม่มีเสียงพูดหรือเสียงอะไรทั้งสิ้น คล้ายกับว่า เวลานั้นไม่มีพวกเราอยู่ที่นั่นเลย นั่นหมายความว่ากระไร พวกเราได้หลับอย่างสนิทแล้ว

วันที่ 19 สิงหาคม 2483 พวกเราพากันตื่นแต่เช้ามืดตามเคย เพราะพวกเราอยู่ที่โรงเรียนเคยตื่นเช้ามืดและปฏิบัติงานของพวกเราแต่เช้าเสมอ เรารีบจัดการเรื่องอาหารเช้า และรีบทำความสะอาดตามห้องและบริเวณลานพระธาตุตามระเบียบของผู้ที่มาพักอาศัยแล้ว พวกเราได้ประชุมสวดมนต์ไหว้พระอีกครั้งหนึ่ง เวลา 8.00 น. พวกเราได้รับอนุญาตจากคณะครู อาจารย์ ให้ลงมาจากพระธาตุสุเทพได้ ขากลับพวกเราไม่หนักใจเลย เพราะไม่ต้องหอบหิ้วเอาสัมภาระมากมายเหมือนขาขึ้นมาเมื่อวันก่อน เวลา 9.00 น. พวกเราได้ถึงเชิงดอยสุเทพหมด ปรากฎว่ารถยนต์ที่เราได้จ้างเหมาไว้วันก่อนตั้งแต่ออกเดินทางจากโรงเรียนแล้วนั้นได้มารอรับเราอยู่แล้ว เมื่อได้ทำธุระบางอย่างในเมืองเสร็จ พวกเราต่างก็พากันกลับ ถึงโรงเรียนเวลาประมาณ 16.00 น.

การเดินทางไปยอดเขาปุยเพื่อศึกษาวิชาพฤกษศาสตร์คราวนี้ นับว่าได้ผลเป็นที่พอใจของคณะครู อาจารย์ และพวกเราเป็นอย่างยิ่ง พวกเราต่างมีแต่สนุกและร่าเริงอยู่ตลอดเวลาทั้งไปและหลับ ที่พวกเราภูมิใจมากที่สุดก็คือ ได้มีโอกาสไปเห็นพืชชนิดต่าง ๆ แม้จนกระทั่งพืชที่ขึ้นอยู่ในที่ ๆ มีอากาศหนาว และอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งหมื่นกว่าฟีต ทั้งนี้ก็โดยความกรุณาปราณีของท่านผู้ช่วยผู้อำนวยการและครู อาจารย์ที่มีต่อศิษย์ โดยหวังจะให้ศิษย์เป็นผู้มีความรู้แตกฉานกว้างขวางทุกทาง ซึ่งศิษย์จะลืมเสียมิได้

แหล่งที่มา : หนังสือแม่โจ้ 2483 หน้า 199-204.