เยาว์วัยในแม่โจ้

เยาว์วัยในแม่โจ้

โดย ชื่นสุข โลจายะ

ชื่นสุข โลจายะ

จําได้ว่าขณะที่อยู่กับคุณพ่อที่แม่โจ้นั้น ดิฉันเพิ่งอายุแค่ 4 ขวบ อยู่ที่นั่นจนกระทั่ง อายุ 6 ขวบ จึงกลับมาอยู่กรุงเทพฯ เราเริ่มต้นที่แม่โจ้ด้วยการอยู่ในบ้านกระต๊อบหลังคามุงด้วยใบตองตึง (ใบพลวง) ใบตองตึงเป็นใบไม้ใหญ่ รูปไข่คล้ายใบหูกวาง เอามาเย็บติดต่อกันเป็นตับๆ คล้ายตับจาก เวลาจะเดินทางจากบ้านแม่โจ้เข้าเมืองเชียงใหม่ บางครั้งไม่มีเกวียนจะนั่งก็ต้องเดิน เอาใบตองตึงมาปิดศีรษะกันแดด ตอนขากลับเข้าแม่โจ้เวลากลางคืน คุณพ่อเอาปืนมาวางบนตัก เกรงจะมีอันตรายกลางทาง เพราะเป็นการเดินทางในป่าที่แสนมืด ช่างน่ากลัวเสียจริง ๆ เด็ก ๆ รู้สึกว่าเป็นเรื่องผจญภัยคล้ายในหนัง คุณพ่อได้ให้คนงานมาหักร้างถางพงและพัฒนาแม่โจ้จนป่ากลายเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ กระต๊อบ ได้กลายเป็นเรือนไม้มีใต้ถุนสูง มีโรงเรียนเป็นเรือนไม้แถวยาวๆ นักเรียนแม่โจ้เริ่มต้นวันแรกมีไม่กี่สิบคน ทุกคนต้องทํางานหนักตรากตรําและต่อสู้กับภัยธรรมชาติอย่างทรหด ผิดกับนักเรียนเกษตรศาสตร์แม่โจ้ในปัจจุบัน ที่ได้นั่งเรียนในตึกหรูหรา รุ่นแรก ๆ ทุกคนยังคงจำดิฉันและน้อง ๆ ได้ดี เพราะเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ทุกคนมาคอยอุ้มหรือแบกใส่บ่าไปเที่ยวชมป่าสนุกสนานเหมือนเป็นน้อง ๆ ของนักเรียนทุกคน  เท่าที่จําชื่อได้ก็มี พี่ถมยา บุณยเกตุ แผ่พืช เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา และบุญศรี วังซ้าย ซึ่งเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แม่โจ้ขณะนี้ ตอนหยุดเทอมจะมีการละเล่นแสดงละคร เล่นลิเก คนเก่งที่ชอบเล่นลิเกอยู่เป็นประจําคือ พี่วิบูลย์ บุณยปรัตยุตธ ต่อมาก็เลยเอาดีทางเป็นเจ้าของลิเก คณะคุณปอมีชื่อเสียงมากที่สุด เพราะขณะนั้นเป็นเจ้าหน้าที่เกษตรส่งเสริมการปลูกปอกะเจา คนดูเลยติดปาก เรียกลิเกคุณปอ และตัวเองก็ต้องเล่นเป็นตัวเอก มีคนติดใจกันนักหนา มีแฟนลิเกแทบทุกจังหวัดมาติดต่อไปแสดงจนต้องมีรถสองแถวบรรทุกตัวแสดงหลายคัน พี่วิบูลย์ นอกจากจะแสดงลิเกเก่งแล้วยังมีฝีมือในการทํากับข้าว เวลามีงานเลี้ยงทุกครั้ง มีเกมอีกอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนเขาเล่นกัน คือการแย่งธง ใครคนใดคนหนึ่งในกลุ่มจะต้องพยายามปีนเสาธงไปเอาธงลงมาจากยอดเสาจึงจะเป็นผู้ชนะ ถือว่าเป็น Hero คนในกลุ่มจึงต้องพยายามฉุดและขัดขวางไม่ให้คนอื่นขึ้นไปเอาธงได้ ต่างคนต่างแย่งกันปีนเสา พยายามไม่ให้เพื่อน ๆ ฉุดให้ตก

การเรียนชั้นอนุบาลของดิฉันก็คือ โรงเรียนใต้ถุนบ้าน ซึ่งคุณแม่ได้จ้างครูผู้ชายจากอําเภอสันทราย  มาสอนทุกเช้า ครูจะถีบจักรยานมาพร้อมด้วยกระติ๊บข้าวเหนียวห้อยมาท้ายรถ   ดิฉันกับน้อง (แพทย์หญิงปานทิพย์ วิริยะพานิช) คอยแอบขอข้าวเหนียวครูกินบ่อย ๆ เพราะที่บ้านไม่นึ่งข้าวเหนียวทาน ต่อมาพออ่านหนังสือออกบ้างแล้ว คุณแม่ได้ให้ไปโรงเรียนวัดแม่โจ้ รวมกับเด็ก ๆ ข้างบ้าน แต่เรายังไม่อดนมและยังชอบดูดนมจากขวดอยู่ คุณแม่จึงชงนมใส่ขวดให้ไปดูดที่โรงเรียนทุกวัน ที่โรงเรียนวัดนี้ไม่มีห้องน้ำ เวลาปวดปัสสาวะนักเรียนจะต้องวิ่งไปนอกประตูวัดด้านหลังซึ่งเป็นป่า เมื่อไปถึงเด็กผู้หญิงก็จะยืนกางขา กางผ้าถุง ฉี่อย่างเด็กผู้ชาย ตามความเคยชินที่มีเหตุผลของชาวเหนือ ไม่นั่งลงปัสสาวะอย่างคนภาคอื่น เราไม่เคยใช้วิธีนั้นและก็ ไม่กล้าเอาอย่าง แอบนั่งลงปัสสาวะอยู่คนเดียว เรื่องนี้พอมาเล่าให้คุณแม่ฟังท่านก็บอกว่าเป็นสิ่งจําเป็น เพราะในพื้นดินปนทรายที่เชียงใหม่จะมีแมลงตัวเล็ก ๆ สีแดงซ่อนตัวอยู่ เวลาฝนตก หรือถูกน้ำก็จะกระโดดออกมากัดเจ็บปวดมาก จึงจําเป็นต้องยืน

บ้านที่อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ไกลจากตัวโรงเรียนแม่โจ้เดินพอเหนื่อย แต่จําได้ว่าไม่เคยต้องเดินไปโรงเรียนแม่โจ้ เพราะพี่ ๆ พวกนักเรียนจะแบกเราใส่บ่าเดินไปแทบทุกวัน ที่แม่โจ้เขามีงานรื่นเริงกันบ่อย ๆ เพราะอยู่ในป่า ไม่มีโรงหนังโรงลิเก จึงมักจัดงานและมีการแข่งกีฬากันบ่อย ๆ บางครั้งเราก็ได้ไปดูนักเรียน  แม่โจ้แข่งฟุตบอลล์กับนักเรียนโรงเรียนยุพราช ที่ในจังหวัดเชียงใหม่ บางครั้งคุณพ่อไม่ชวนไปแต่คุณแม่เกิดนึกอยากจะไปจึงต้องเดินกันจากบ้านแม่โจ้เข้าไปดูฟุตบอลล์ในเมือง ซึ่งแสนจะไกล ไม่ทราบว่าระยะเท่าใด แต่รู้สึกไม่เหนื่อยเลย ภายหลังทราบว่าระยะทางตั้ง 6 กิโลเมตร ตอนเด็ก ๆ ทําอะไร ๆ ก็ดูจะสนุกไปหมด

ข้าง ๆ บ้านที่อยู่มีฝายทดน้ำ ส่วนหน้าบ้านเต็มไปด้วยสวนดอกไม้นานาชนิด คุณแม่มีเมล็ดพันธุ์ดอกไม้แปลก ๆ ของต่างประเทศมาปลูกมากมายแลดูสวยสดงดงามไปหมด เพราะอากาศหนาวเย็นดี เราชอบนั่งถ่ายรูปในกอดอกไม้กันบ่อย ๆ ทางหลังบ้านคุณแม่ชอบปลูกพืชสวนครัว มีผักต่าง ๆ เช่น ฟักเขียว หอมกระเทียม บวบ แม้กระทั่งใบชะพลู คนก็ชอบมาขอเก็บไปทาน ต้นไม้ยืนต้นที่คุณแม่ปลูกเป็นต้นลิ้นจี่พันธุ์ดี หลังจากนั้นอีก 10 ปี เมื่อเรากลับไปเที่ยวแม่โจ้ยังได้เก็บลิ้นจี่หลังบ้านทาน และระลึกถึงความหลังกัน พวกเราลูก ๆ ชอบติดนิสัยคุณแม่ที่เวลาทานผลไม้อะไรที่รสดีก็จะต้องเก็บเมล็ดไว้ปลูกทุกครั้ง บ้านที่เราอยู่จึงมีสวน ผลไม้นานาชนิด

หน้าบ้านพักที่แม่โจ้

เรื่องการปลูกต้นไม้ คุณแม่ชอบมากที่สุด คุณแม่เล่าว่า เมล็ดพันธุ์ยาสูบเวอร์จิเนีย มีอยู่เพียงช้อนโต๊ะเดียว เมล็ดก็ละเอียดเหมือนผง คุณแม่จึงต้องหาวิธีเพาะโดยเอาทรายกระป๋องหนึ่งมาผสมเคล้ากันให้ทั่วแล้วแบ่งให้นักเรียนเอาไปทดลองปลูก คุณพ่อเป็นผู้ริเริ่มและบุกเบิกการปลูกใบยาสูบ ได้สร้างโรงบ่มใบยาในจังหวัดเชียงใหม่เป็นรายแรก จนกระทั่งปัจจุบันนี้ เชียงใหม่และจังหวัดใกล้เคียงได้กลายเป็นแดนไร่ยาสูบ มีโรงบ่มเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด และยาสูบได้เป็นอาชีพสําคัญของคนทางภาคเหนือสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน นับว่าคุณพ่อเป็นบิดาของการทําไร่ยาสูบในประเทศไทย

ทุก ๆ ปี ที่บ้านถนนลาดหญ้าของเรา จะมีการเลี้ยงวันเกิดคุณพ่อ เพื่อให้นักเรียนแม่โจ้รุ่นแรก ๆ ซึ่งขณะนี้อายุเลย 60 ปีกันหมดแล้ว มารับประทานอาหารกัน โดยมีพี่วิบูลย์ เป็นพ่อครัวปรุงอาหารให้พวกเราได้มีโอกาสสังสรรค์และระลึกถึงความหลังครั้งกระโน้น

ที่มา : หนังสือเกษตร-แม่โจ้ ที่ระลึกเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบรอบปีที่ 82 ของอาจารย์อำมาตย์โท พระช่วงเกษตรศิลปการ (ช่วง โลจายะ) 20 กรกฎาคม 2524 หน้า 51 – 53