อดีต STAR FARMERS องค์การเกษตรกรในอนาคตแห่งประเทศไทย ( F.F.T. )

by

|

in
Archives-Logo-2021-black-3500x1000

Maejo University Oral History

เรื่องราวเหตุการณ์ ประสบการณ์ คำบอกเล่า จากศิษย์เก่าแม่โจ้ เพื่อการเติมเต็มประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้่

         พี่ทองย้อย บัวศรี (แม่โจ้รุ่นที่ 25) อดีต STAR FARMERS ได้เล่าว่า “…F.F.T. เนี่ย เราเกิดขึ้นที่แม่โจ้ ปี 2504ครับ โดยการก่อตั้งขึ้นมาก็มีอาจารย์วิภาต บุญศรี วังซ้าย อาจารย์ประสงค์ วรยศ อาจารย์สุรพล สงวนศรี เป็นคนเริ่มต้นขึ้นมา โดยถูกถอดแบบมาจาก F.F.A.จากอเมริกานะฮะ ที่แม่โจ้เรา อาจารย์ท่านคัดเลือกนักเรียนที่มีผลการเรียนที่พอไปได้ และมีความประพฤติดี ให้ออกมาปลูกกระท่อมอยู่กันเป็นหลังๆ แล้วก็แบ่งพื้นที่ให้ปลูกพืชผัก ทำมาหากินกัน เมื่อปลูกมาแล้วก็เอามาขายให้โรงครัวของแม่โจ้เราเนี่ย สมัยนั้นก็ถือว่าทุ่นการไปซื้อผักจากตลาดต้นลำไยมากก็ใช้ผักของเราเนี่ย ผมเองก็ดองผักขาย ผมดองผักดองจนเรียกว่าในรุ่นนั้นน่ะผมมีฝีมือในการดองผักดอง เราส่งโรงครัวอาทิตย์หนึ่ง 6 โอ่ง 6ไหซอง ซองละ 30 บาทสมัยนั้น ผมจะมีรายได้จากโรงครัว อาทิตย์หนึ่งเนี่ยประมาณ 180 บาท แล้วก็ยังมีผักอื่น มีกะหล่ำปลี มีผักกาดขาวกวางตุ้ง ผักกาดเขียวกวางตุ้ง มีผักกาดขาวปลีอะไรอย่างนี้นะฮะ แล้วก็มีครั้งหนึ่งผมก็ปลูกแตงโม สมัยนั้นที่ฮิตที่สุดก็ Sugar Baby ปลูกแล้วขายดิบขายดีเพราะที่เชียงใหม่ไม่มีใครปลูก ต้องขนไปขายที่ในเมือง ก็มีดาราหนังคนหนึ่งชื่อคุณมานี มณีวรรณ เนี่ย เขาก็ซื้อไป แล้วเขาก็ฝานแตงโมเป็นชิ้นๆ ใส่จานไสน้ำแข็งเพื่อเอามาให้กับพวกที่มานั่งกินนั่งทาน ผมก็เข้าไปแอบจีบ แกล้งถามเขาว่าแตงโมเนี่ยซื้อมาจากไหน เขาก็บอกว่าพวกแม่โจ้เอามาส่ง ใครล่ะที่เอามาส่ง เขาชื่อคุณทองย้อย เขาไม่รู้จักตัวผม (จุดใต้ตำตอ) F.F.T. เราก่อกำเนิดกันขึ้นมาเนี่ย ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะเจริญรุ่งเรืองอะไรมากมาย อยู่มาครั้งหนึ่งก็มาประชุมกัน เราควรจะออกแบบให้เป็นเอกลักษณ์ของ F.F.T. เพราะเราเลียนแบบมาจาก F.F.A. ก็มาเปิดหนังสือดูกัน เห็นเสื้อโลโก้ของเขานะฮะ เราก็เอามาเลียนแบบเป็นของแม่โจ้เรา F.F.T. ตอนหลังเนี่ย ก็หายไป แล้วไปโผล่ตามโรงเรียนเกษตรต่างๆ ตามโรงเรียนต่างๆ แต่เขาไม่เรียกว่า F.F.T. นะ เขาเรียกว่า อ.ก.ท. แล้วทางโน้นก็ไม่ได้กล่าวถึงว่าต้นกำเนิดน่ะมาจากไหนนะ ใครไปก่อตั้งขึ้นมา ผมได้เงินจากแม่โจ้ ผมทำนาด้วย ผมทำนา 12 ไร่ ผมได้ข้าวปีหนึ่ง 660 ถัง สมัยนั้นถังหนึ่งก็ตก 4 บาทนะ ครับ! ก็เรียกว่าเป็นนักเรียนที่มีสตางค์กินอย่างไม่เดือดร้อนทางบ้านเลย แถมตอนผมกลับบ้าน ผมยังมีเงินติดตัวไปเกือบสองหมื่นบาท ผมปลูกกระเทียมเยอะ ขายกระเทียม ขายข้าว ขายแตงโม ขายกะหล่ำปลี ทำกันเป็นล่ำเป็นสันแล้ว
         สมัยนั้นเรื่องเรียนหนังสือนี้อาจารย์ประสงค์ วรยศแกเน้นว่าห้ามขาดเรียนห้ามโดดเรียนเด็ดขาด แล้วปกตินี่เลิกเรียนแล้วเนี่ยวันเสาร์วันอาทิตย์นักเรียนจะเข้าเวียงกัน แต่กลุ่ม F.F.T.ไม่ละครับใช้เวลานั้นมาขนขี้วัวกัน ขนขี้ไก่กัน เอาไปรองพื้นปลูกผักขายกัน ครับ! เป็นเงินเป็นทองการที่อาจารย์ท่านให้พวกเราแยกตัวจากหอพักมาสร้างกระท่อมอยู่หมู่บ้าน F.F.T.ท่านคงคิดแล้วว่า หนึ่ง คงไม่เกเร สอง คงไม่หนีไปเที่ยว สาม ก็ต้องทำงานในหน้าที่ๆ ควรจะทำเช่นการเกษตรต่างๆ ก็มีบางคนเลี้ยงหมู บางคนก็เลี้ยงไก่ แต่เลี้ยงหมูกับเลี้ยงไก่นี่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าสมัยนั้นมันไม่มีหัวอาหาร ต้องปลูกผัก โอ้ย! เช้ามานี่ตีสี่ตีห้า หาบน้ำรดผักกัน เย็นพอเลิกก็หาบน้ำรดผักกัน ไอ้ที่จะไปเที่ยว เดินเตร่นี่เกือบไม่มีเลยครับ! ไม่มีเลยครับ อาจารย์ก็ไว้เนื้อเชื่อใจ อาจารย์ประสงค์ท่านก็จะไปตรวจ อาจารย์เบิร์ด อาจารย์รัตน์ ชลลัมพีนะ อาจารย์ประสงค์นี่จะขี่มอเตอร์ไซต์ แต่อาจารย์รัตน์ ชลลัมพี นี่ท่านจะขี่จักรยาน ผมจำได้ยี่ห้อฟิลิปส์เพราะว่าก่อนท่านจะไปเป็น ผอ.กอง ท่านยกให้ จักรยานอันนี้ไว้ให้ผม ครับ! สมัยปี 2506 2507 2508 ที่ผมยังเรียนอยู่นี่นะ พอพวกเราเข้าเมืองนี่ คือคนในเมืองเขาดูก็รู้เลยว่ามาจากแม่โจ้ เพราะคนทั่วๆ ไปไม่มีใครนุ่งกางเกงยีนส์ พอพวกเรานุ่งกางเกงยีนส์ อ๋อ! ไอ้พวกแม่โจ้ กางเกงยีนส์นี่มีมาตั้งแต่สมัยรุ่นพี่ๆ เขาแล้วนะฮะ แต่ว่าราคามันแพง ตอนนั้น แรงเลอร์ ลี ลีวาย ตัวหนึ่งมันตก 120 น่ะ เพราะทางบ้านส่งมาให้ก็ 150 น่ะเดือนหนึ่ง ไปซื้อกางเกงก็เหลือ 30 บาทเท่านั้นเหลือใช้เท่านั้นเอง แต่ที่อยู่รอดปลอดภัยเพราะกินข้าวโรงครัว ครับ!
         ตอนที่ผมเรียนตอนนั้นน่ะท่าน ผมเป็น Star Farmer คนแรกของแม่โจ้ คนแรกของประเทศไทย ลงหนังสือพิมพ์เสรีภาพ ฉบับที่ 123 นักเรียนแม่โจ้ที่ทำเงินได้ในขณะเรียนครับ! ไม่เดือดร้อนทางบ้าน เขาเขียนยาวเหมือนกัน แล้วผมขออนุญาตพูดตรงนี้ว่า ฝรั่งที่มาสัมภาษณ์ผมเนี่ยเขาบอกกับผมว่า เขาเดินทางจากอเมริกาลงที่ดอนเมืองแล้วขึ้นเครื่องบินมาลงเชียงใหม่แล้วก็มาที่นี่เลย สัมภาษณ์ผมที่นี่เลย นะฮะ แล้วก็เสรีภาพฉบับที่ 123 ถ้า Free World ภาษาอังกฤษน่ะผมจำไม่ได้ฉบับที่เท่าไรไม่รู้คือสมัยก่อนเรามีโลกคอมมิวนิสต์แล้วก็มีโลกเสรีภาพใช่ไหมครับ! ประวัติผมนี่จะไปในโลกเสรีภาพเนี่ยหมด อย่างนี้ครับ! แล้วก็มีเพื่อ F.F.A. เนี่ยเขียนจดหมายมาหาผมเยอะเลยเป็นภาษาอังกฤษเนี่ยครับ! สถานที่ตรงนั้นมันอยู่ตรงศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมเกษตรล้านนา 35 ไร่สมัยนี้น่ะครับ สมัยก่อนพื้นที่ F.F.T.มันเยอะนะท่าน เยอะ ใครจะเอาเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่แต่กำลังของตัวเองที่จะทำได้ครับ! เป็นป่าตองตึงแล้วเราก็ไปบุกเบิกเอ
         ผมจะขอเรียนท่านอนุสรณ์ว่าพอเราเข้ามาจากถนนบางเขนน่ะ ซ้ายขวาเป็นนาคอนทัวร์สมัยนั้น แล้วก็เข้ามาอีกหน่อยซ้ายขวาจะเป็นป่า ผมอยู่ปีสี่แล้วนะตอนนั้นน่ะ ก็ได้เงินจากยูซ่อม (USOM) มาเปิดป่าให้มันเป็นทุ่งโล่ง แต่ก่อนมันไม่เป็นทุ่งโล่งมันเป็นป่า ครับ! ผมขออนุญาตคุณอนุสรณ์เล่าให้ฟังว่าที่นาโยนเนี่ย กำหนดเริ่มต้นเดิมทีนี่จากแม่โจ้เราที่นาคอนทัวร์ โดยชุดของผมเนี่ยมันเป็นหมวดนา แล้วเราจะลงนา คราวนี้เราหว่านกล้ากันเสร็จแล้วพอถึงถอนกล้าเราก็ถอนกล้ากัน แต่พอถึงจะปักดำเนี่ย ฝนมันตกหนักน้ำมันมาเต็มคันนาเลย พอน้ำมาเต็มคันนา ทำไงรู้ไหม ถ้าจะลงไปน้ำก็ลึก ปลิงก็ชุม เราก็นั่งคุยกันบนคันนาก็เอากล้านี่มาแล้วก็ขุดดินเหนียวปั้นหุ้มกล้าๆๆ ก็โยนกันสิวะ สนุกสนาน ไอ้ที่เริ่มต้นเดิมทีน่ะไม่ได้คิดว่าจะมาคิดตอนนี้หรือว่ามานิยมตอนนี้นะครับ! ไอ้นาโยนเนี่ยนะ มีคนถามผมที่โต๊ะกาแฟ ผมชอบไปนั่งโต๊ะกาแฟ เขาถามว่าหัวหน้าย้อย เริ่มต้นไอ้นาโยนน่ะมันทำไมเขาต้องทำนาโยน โอ้โฮ น้ำมันลึก ปลิงก็ชุมน่ะ ใครจะลงไปดำล่ะพ่อคุณ ผมก็พูดอย่างนี้ล่ะครับ! ก็ใช้โยนเอาสิฮะ คราวนี้พอโยนไปแล้วน่ะท่านคือข้าวถ้าเราปักดำลึกน่ะ สมมุติว่าเรากดลึกไปน่ะ ความเจริญงอกงามจะน้อยกว่าเราไปแตะๆๆ ให้ติดดิน ฉะนั้นไอ้ที่เป็นนาโยน เราโยนไปปุ้บก็ไปปักปุ้บๆๆ โอ้โฮมันจะงามแตกกอดี นี่แหละครับสาเหตุที่ทำนาโยนกัน
         กลับมาที่ F.F.T.ต่อนะ สมาชิกปีแรกผมจำไม่ได้แน่นอน ไม่ถึง 20 หรอกครับท่าน ไปปลูกไปสร้างกระท่อมกันเอง ข้ามไปที่ไซฟอนตะก่อนนี้มันไม่มีใครเป็นเจ้าของน่ะมันข้ามไปฝั่งกระโน้นน่ะ แล้วก็ไปตัดต้นไม้แล้วก็แบกมาทำกระท่อมกันครับ! คนละหลังครับ! หรือมีบางกระท่อมก็มีสองคนต่อหลัง พวกอีสานจะอยู่สองคนต่อหลังครับ! STAR ไม่มีใครคิดขึ้นมา ไม่มีอะไรขึ้นมา จนกระทั่งมาเมื่อปีสุดท้ายก็เลยมี Star Famer ขึ้นมาโดยคณะกรรมการจากอาจารย์ทั้งหลาย คงจะคัดเลือกกันขึ้นมาว่า เออ! ไอ้เนี่ยดีเด่นๆๆ อะไรอย่างเนี้ยะ
         แล้วมีอีกอย่างหนึ่งอาจารย์วิภาตเนี่ยจะไปเยี่ยมผมบ่อยที่กระท่อม ท่านจะขี่จักรยานไปเยี่ยมผม ท่านที่ไปเที่ยวที่พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมการเกษตรไทยปัจจุบันนี้น่ะ จะมีรูปผมยืนคู่กับอาจารย์วิภาตครับ! อาจารย์ท่านจะไปหาผมบ่อย แล้วก็พูดกันจริงๆ ว่า พอท่านไปเราทำงานอะไรอยู่ผมก็วิ่งมาหาท่านเป็นอย่างนี้น่ะครับ! คือผมพูดจริงๆ ว่าครูบาอาจารย์สมัยพวกผมเรียนกันเนี่ย เขามองดูพวกเราเนี่ย ไม่ได้มองดูว่าเป็นลูกศิษย์ที่มาเรียนหนังสืออย่างเดียว เขามองดูน่ะคือลูกคือหลานของท่าน มีอะไรก็ว่ากล่าวตักเตือน แล้วก็พูดจริงๆ ต่อไปว่าประเพณีแม่โจ้เราเนี่ย พี่ปกครองน้องแล้วก็ระบบซีเนียร์เนี่ย โอ้โฮ! สมัยก่อนเราเข้มข้นมากท่าน เข้มข้นมาก พอรุ่นพี่นั่งกินกาแฟอยู่ที่ร้านตลาดอาจารย์มณฑลเนี่ย ผมอยู่ปีหนึ่งผมจะเดินผ่านไปผ่านมา ไม่กล้าเข้าไปกิน แต่ปีสองเขามารยาทดี พอเห็นเราเดินสักหนสองหนเดี๋ยวเขาก็จะลุกแล้ว เพื่อให้เราเข้าไปครับ! เราอยู่กันอย่างนั้นจริงๆ ครับ! แล้วก็ไอ้เรื่องแซงคิวนี่ ไม่มี แล้วผมบอกได้ว่า อะไรที่เป็นครั้งแรกหลายๆ อย่างอย่างนาโยนครั้งแรกเนี่ยในแม่โจ้ ครั้งแรกในเมืองไทย แล้วเรื่องกินน้ำเนี่ยตามก๊อกโรงเรียนที่เดี๋ยวนี้เขาเอาอย่างเรา โรงครัวเรานี่จะมีอ่างล้างน้ำแล้วมีก๊อกน้ำ ซึ่งไม่ได้เปิดคว่ำลง เปิดหงายขึ้นแล้วเราก็กินกันอย่างนี้ เพราะอะไรหนึ่ง ไม่มีแก้วแจกก็ต้องกินกันอย่างนี้ แล้วก็กินข้าวในโรงครัวจะเป็นพี่เป็นน้องอะไรก็ช่างเถอะไอ้ที่มาแซงคิว ว่าเฮ้ย! กูรุ่นพี่มึงกูขอก่อน ไม่มี ของเรานี่เข้าระเบียบเปรี๊ยะเลย ไม่แซงคิวกัน
         เรื่องขายผักนี่พวกเราไม่ต้องดิ้นรนเอาไปขายเอง แม่ค้ามาหาเองเลย แต่ก่อนหน้านั้นเริ่มต้นเดิมทีพวกเราไปขายกันเองก่อน เอาใส่ตะเข่งแบกไปขายกัน ไอ้โน่นขาย 3 บาท เราขาย 2บาท แล้วของเราก็สดกว่านะครับ! พอเขาขายแตงกวา เราก็มีแตงกวา เขาขายกะหล่ำปลี ผมมีกะหล่ำปลี แล้วกะหล่ำปลีสมัยก่อนผมพูดให้ท่านฟังว่าสมัยก่อนกิโลสลึง ครับ! แล้วเราไปขายกัน หนักเข้าแม่ค้าเขาก็เห็นว่า เอ๊ะ! ผักของนักเรียนไปตัดราคาเขา สอง คล้ายๆ ว่าเขาก็มาอุดหนุนเราด้วย เออ! นักเรียนทำแต่ว่าฉันจะมาซื้อ ทำหลายปีเหมือนกันนะท่านนะ เออ! แล้วหนังสือพิมพ์ของเชียงใหม่ อันนี้เขามาดูของพวกเราบ่อย เขาเชียร์พวกเราอยู่ตลอดเลย สมัยก่อนเนี่ยนะ หนึ่ง เชียร์เราเรื่องแม่โจ้สปิริตแม่โจ้ เรื่องฟุตบอลแม่โจ้ เพราะแม่โจ้เตะฟุตบอลในเชียงใหม่นี่ผมพูดได้เลยว่า วันไหนเนี่ยเราเข้าไปในเมืองเนี่ย ในเวียงเนี่ย นั่งสามล้อไม่เสียตังค์ เพราะสามล้อเนี่ยมันพนันแม่โจ้ทั้งนั้น วันหนึ่งผมนั่งไป ถามว่าสามล้อวันนี้ได้กี่ตังค์ ได้ซาวบาท เอ้า! แล้วตกเย็นมาต้องซื้อข้าวสารไหม ไม่ต้องซื้อครับเพราะว่าวันนี้ไปเล่นพนันแม่โจ้ เดี๋ยวก็ต้องได้มาอีก เขาจะไปเล่นพนันแม่โจ้ แล้วเขาต้องได้เพิ่มจากที่เขาเคยได้เขาก็ได้อีกอย่างนี้ อยู่แม่โจ้สมัยปีก่อนๆ น่ะมันจริงๆ แล้วก็ชาวบ้านรอบๆ เนี่ยเขาให้เกียรติพวกเรา เขาจะไม่เรียกไอ้นั่นไอ้นี่เลย เขาเรียกคุณทั้งนั้นเลยนักเรียนแม่โจ้ไปเดินเนี่ย เชียงใหม่ เข้าไปในเมืองนี่ก็เหมือนกัน ไปที่โรงหนังสุริวงศ์เนี่ย! เขาเห็นพวกเราไปเนี่ย! เขาจะลงมาถาม อ้ายๆ อ้ายมากี่คน บอก 3 คน อ้ายขึ้นไปชั้นบนเน้อ! กักที่ไว้ให้นั่งเลยครับ! เขาให้เกียรติเรามากสมัยก่อนน่ะ…”

ผู้ให้ข้อมูล: คุณทองย้อย บัวศรี รุ่น 25
ผู้สัมภาษณ์: อนุสรณ์ วิจารณ์ปรีชา รุ่น 53

F.F.T. เนี่ย เราเกิดขึ้นที่แม่โจ้ ปี 2504 ครับ โดยการก่อตั้งขึ้นมาก็มีอาจารย์วิภาต บุญศรี วังซ้าย อาจารย์ประสงค์ วรยศ อาจารย์สุรพล สงวนศรี เป็นคนเริ่มต้นขึ้นมา โดยถูกถอดแบบมาจาก F.F.A.จากอเมริกานะฮะ และผมเป็น Star Farmer คนแรกของแม่โจ้ คนแรกของประเทศไทย ลงหนังสือพิมพ์เสรีภาพ ฉบับที่ 123 นักเรียนแม่โจ้ที่ทำเงินได้ในขณะเรียนครับ! ไม่เดือดร้อนทางบ้าน **หมายเหตุ: เสียงจาก Ai voice.botnoi**

เชิญชวนศิษย์เก่าแม่โจ้ ร่วมเติมเต็มประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยการบอกเล่าประสบการณ์จากอดีตที่ผ่านมาของท่านในแม่โจ้

สามารถติดต่อเพื่อให้ข้อมูลได้ที่ ฝ่ายจดหมายเหตุและคอลเล็กชั่นพิเศษ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยแม่โจ้ อาคารวิภาต บุญศรี วังซ้าย

โทร. 0 5387 3508

หรือสามารถติดต่อได้ที่ Facebook: จดหมายเหตุมหาวิทยาลัยแม่โจ้