
หากพูดถึงอาหารเหนือที่ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติรู้จักกันดี “แกงฮังเล” ต้องติดอันดับต้น ๆ แน่นอน ด้วยรสชาติเปรี้ยว เค็ม หวานนิด ๆ มีกลิ่นหอมเครื่องเทศ และเนื้อหมูเปื่อยนุ่มที่เคี้ยวแล้วแทบละลายในปาก เมนูนี้ไม่ได้แค่ “อร่อย” แต่ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจซ่อนอยู่มากมาย
จริง ๆ แล้วแกงฮังเลไม่ใช่แกงที่มีต้นกำเนิดจากไทยแท้ ๆ แต่มาจากประเทศพม่า โดยคำว่า “ฮินเล” ในภาษาพม่าหมายถึง “แกงเนื้อ” พอเข้ามาในภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะในเขตล้านนา ชาวบ้านจึงเรียกเพี้ยนเป็น “ฮังเล” และปรับสูตรให้เข้ากับวัตถุดิบในท้องถิ่น
ในยุคก่อน การติดต่อค้าขายและการปกครองของพม่าที่มีต่อล้านนา ทำให้วัฒนธรรมหลายอย่างไหลเข้ามาในดินแดนเหนือ รวมถึงอาหารด้วย ชาวบ้านเลยนำสูตรแกงเนื้อของพม่ามาดัดแปลงใช้กับหมูที่หาง่ายในท้องถิ่น จนกลายเป็น “แกงฮังเล” อย่างที่เรารู้จักกันทุกวันนี้
จุดเด่นของแกงฮังเลอยู่ที่การใช้ หมูสามชั้น หรือ หมูเนื้อแดง มาหมักกับเครื่องแกงหอม ๆ เช่น ขิง กระเทียม หอมแดง ข่า ตะไคร้ พริกแห้ง และกะปิ ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และซีอิ๊ว เคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนหมูนุ่มและเครื่องแกงซึมเข้าเนื้อ
สูตรของบางบ้านยังมีการใส่กระเทียมดอง ขิงหั่น และถั่วลิสงคั่วเพิ่มความมันและกลิ่นหอม บางสูตรแบบโบราณแท้ ๆ จะไม่มีการใส่กะทิเลย ทำให้เก็บไว้กินได้นานขึ้นด้วย
แกงฮังเลไม่ได้มีดีแค่รสชาติ แต่ยังเต็มไปด้วยประโยชน์จากสมุนไพรไทย เช่น
- ขิง ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องอืด
- มะขาม มีวิตามินซีสูง เป็นยาระบายอ่อน ๆ
- กระเทียม ลดไขมันในเลือด ฆ่าเชื้อ
นอกจากนี้ยังมีวิตามินหลากหลาย เช่น วิตามินเอ บี1 บี2 และแร่ธาตุสำคัญอย่างแคลเซียมและเหล็ก
ในอดีต แกงฮังเลมักจะถูกปรุงในโอกาสพิเศษ เช่น งานแต่ง งานบุญ งานขึ้นบ้านใหม่ เพราะใช้วัตถุดิบดีและต้องใช้เวลาปรุงนาน ถือเป็นอาหารมงคลที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ และมักทำแจกหรือถวายพระในงานวัดอีกด้วย
ทุกวันนี้ แกงฮังเลกลายเป็นเมนูสามัญที่หาได้ตามร้านอาหารเหนือทั่วไป แต่ยังคงความคลาสสิกไว้อย่างครบถ้วน
เอกสารอ้างอิง
- วิกิพีเดีย. (2567). แกงฮังเล. สืบค้นจาก https://th.wikipedia.org/wiki/แกงฮังเล
- มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง. (ม.ป.ป.). อาหารพื้นถิ่นล้านนา: แกงฮังเล. สืบค้นจาก https://sites.google.com/mfu.ac.th/chiangrai/traditional/foods/gang-hunglay
- ธวัชชัย แสนชมภู. (2562). การพัฒนาเอกลักษณ์อาหารพื้นบ้านล้านนา: กรณีศึกษาแกงฮังเล. วารสารวิชาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์, 17(1), 95-110. สืบค้นจาก https://so06.tci-thaijo.org/index.php/var/article/download/213511/149805
ผู้ให้ข้อมูล
นางอนงค์ โทปุรินทร์
- พื้นที่: อำเภอทุ่งช้าง จังหวัดน่าน
- ให้ข้อมูลว่า: “เป็นอาหารที่รับอิทธิพลมาจากประเทศพม่า”
และยังให้เคล็ดลับว่า สามารถใช้เนื้อกระท้อนแทนน้ำมะขามเปียกได้ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่น่าสนใจมาก
นางอำพัน นาวิชัย
- พื้นที่: ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
- ให้ข้อมูลเรื่องระยะเวลาการทำ ซึ่งใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง ถือว่านานที่สุดในกลุ่มผู้ให้ข้อมูล
นางวิจิตร ศรีจันสุขสกาว
- พื้นที่: ตำบลปางหมู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
- ระบุขั้นตอนว่า หั่นหมูเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 2 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ช่วยให้หมูนุ่มและซึมเครื่องแกงได้ดี