ผักชี (Coriandrum sativum L.) เป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ด้วยกลิ่นหอมเฉพาะตัวและสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ผักชีมักถูกใช้ในอาหารไทยหลายชนิดทั้งในรูปแบบสดและแห้ง รวมถึงส่วนของต้น ใบ ราก และเมล็ดที่มีประโยชน์ครบถ้วน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ผักชีเป็นพืชล้มลุกในวงศ์ Apiaceae มีความสูงประมาณ 30-60 ซม. ใบมีลักษณะเป็นใบประกอบสีเขียวสด ขอบใบหยักละเอียด ดอกเล็กสีขาวหรือชมพูอ่อน ผลหรือเมล็ดมีลักษณะกลมรี สีเหลืองน้ำตาล
ถิ่นกำเนิดและการเพาะปลูก
ผักชีมีถิ่นกำเนิดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน และแพร่กระจายเข้าสู่ภูมิภาคต่าง ๆ รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยปลูกผักชีเป็นพืชเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดราชบุรี และนครปฐม
คุณค่าทางโภชนาการ
ผักชีมีสารอาหารที่สำคัญหลายชนิด ได้แก่:
- วิตามินเอ: ช่วยบำรุงสายตา
- วิตามินซี: เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- สารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์
- แคลเซียมและธาตุเหล็ก: ช่วยเสริมสร้างกระดูกและเม็ดเลือดแดง
สรรพคุณทางยา
ผักชีมีบทบาทสำคัญในทางการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรพื้นบ้าน ดังนี้:
- ช่วยลดอาการท้องอืดและขับลม: รากผักชีมีสรรพคุณช่วยลดอาการแน่นท้อง
- ลดการอักเสบและระงับกลิ่นปาก: ใบสดของผักชีช่วยต้านการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- ควบคุมน้ำตาลในเลือด: สารในเมล็ดผักชีช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
- บำรุงไตและขับปัสสาวะ: ผักชีสดช่วยขจัดสารพิษในร่างกาย
การใช้ในชีวิตประจำวัน
- ปรุงอาหาร: ใบผักชีใช้โรยหน้าอาหารเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม รากผักชีใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องแกง
- สมุนไพรพื้นบ้าน: น้ำต้มผักชีใช้ดื่มเพื่อบรรเทาอาการหวัดหรือขับปัสสาวะ
- ผลิตภัณฑ์แปรรูป: เช่น ผงผักชี น้ำมันผักชี หรือสารสกัดจากเมล็ด
คำแนะนำและข้อควรระวัง
- บริโภคในปริมาณที่เหมาะสม: ผู้ที่มีอาการแพ้ผักชีควรหลีกเลี่ยงการบริโภคหรือสัมผัส
- ไม่ควรเก็บไว้ในอุณหภูมิสูง: เพราะสารสำคัญในผักชีอาจสูญเสียไป
แหล่งที่มา : ศูนย์เรียนรู้ และอนุรักษ์พันธุ์พืชสมุนไพรไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา วิทยาเขตสมุทรสงคราม