ข่า (Alpinia galanga (L.) Willd.) เป็นสมุนไพรไทยที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนานในครัวเรือนและการแพทย์แผนไทย ข่ามีกลิ่นหอมเฉพาะตัว มีรสเผ็ดร้อนเล็กน้อย และนิยมนำมาใช้ในอาหารไทยหลายชนิด รวมถึงมีสรรพคุณทางยาที่สำคัญ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ข่าเป็นพืชล้มลุกในวงศ์ Zingiberaceae มีลักษณะสำคัญดังนี้:
- ลำต้น: เป็นเหง้าใต้ดินขนาดใหญ่ มีสีเหลืองแกมน้ำตาลและมีกลิ่นหอมเฉพาะ
- ใบ: รูปใบหอก ขอบใบเรียบ
- ดอก: ออกเป็นช่อ สีขาวแกมเหลืองหรือสีชมพูอ่อน
- ผล: ขนาดเล็ก สีเขียวอ่อน เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเมื่อแก่
ถิ่นกำเนิดและการเพาะปลูก
ข่ามีถิ่นกำเนิดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยและชื้น ประเทศไทยนิยมปลูกข่าในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คุณค่าทางโภชนาการ
ข่ามีสารสำคัญหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่:
- น้ำมันหอมระเหย: เช่น ซีนิโอล (cineole) และการบูร (camphor) ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย
- สารฟลาโวนอยด์: ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
- วิตามินซี: ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
สรรพคุณทางยา
ข่าถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรพื้นบ้าน ดังนี้:
- ขับลมและแก้ท้องอืด: ใช้เหง้าข่าต้มดื่มช่วยลดอาการแน่นท้อง
- แก้อาการไอ: น้ำข่าต้มผสมน้ำผึ้งช่วยบรรเทาอาการไอ
- รักษาโรคผิวหนัง: เหง้าข่าใช้ตำหรือบดทาบริเวณแผลอักเสบ
- ต้านการอักเสบ: สารในข่าช่วยลดการอักเสบของข้อต่อ
การใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
- ปรุงอาหาร: ข่าเป็นส่วนประกอบหลักในเมนูไทย เช่น ต้มข่าไก่ ต้มยำ และน้ำพริก
- สมุนไพรพื้นบ้าน: น้ำข่าต้มใช้ดื่มเพื่อขับลมและบรรเทาอาการจุกเสียด
- ผลิตภัณฑ์แปรรูป: เช่น น้ำมันข่า แคปซูลข่าสกัด และสบู่ข่า
อ้างอิง
โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ. “ข่า: สมุนไพรไทยกับสรรพคุณหลากหลาย.” สืบค้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567.
https://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_02_1.htm