Sansai Discovery

ชีวิตและผลงานของพ่อครูบุญศรี รัตนัง ศิลปินแห่งชาติ

ในอ้อมกอดของขุนเขาแห่งล้านนา มีเสียงดนตรีที่แทรกซึมอยู่ในสายลมและสายน้ำ เสียงที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้คน วิถีชีวิต และจิตวิญญาณแห่งดินแดนทางเหนือ เสียงนั้นคือเสียงซอ และหนึ่งในผู้ที่ทำให้เสียงซอยังคงก้องกังวานมาจนถึงปัจจุบันคือ พ่อครูบุญศรี รัตนัง ศิลปินแห่งชาติผู้ได้รับการขนานนามว่า “ขุนพลซอแห่งล้านนา”

จากเด็กชายสู่ศิลปิน: จุดเริ่มต้นของเส้นทางดนตรี

ณ บ้านหนองเตาคำ ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เด็กชายบุญศรี รัตนัง เติบโตขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงและดนตรีพื้นบ้าน แม้จะเรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนบ้านป่าเหมือดวิทยาคาร แต่ความรักในการอ่าน การเขียน และการศึกษาค้นคว้าได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นปราชญ์แห่งดนตรีล้านนาในเวลาต่อมา

ชีวิตในวัยเยาว์ของบุญศรีไม่ต่างจากเด็กชนบททั่วไป เขาต้องช่วยครอบครัวทำมาหากิน ทั้งเผาถ่าน เลื่อยไม้ เก็บเห็ด และหาของป่าไปขาย แต่ภายใต้ภาระหน้าที่เหล่านั้น เสียงเพลงและดนตรียังคงเป็นความฝันที่เขาไม่เคยละทิ้ง

จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี 2514 เมื่อบุญศรีตัดสินใจเริ่มเรียนการเป่าปี่ แต่ด้วยความที่การเป็นช่างเป่าปี่ได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าช่างขับซอ เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาเรียนการขับซอกับพ่อครูจันทร์ตา ต้นเงิน แห่งบ้านป่าแงะ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่

ก้าวแรกบนเส้นทางสายดนตรี: จากคนรอบผ้ากั้นสู่นักแสดงตลก

การเริ่มต้นอาชีพในวงการดนตรีของบุญศรีนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาเริ่มจากการเป็นคนรอบผ้ากั้นคนดูให้กับวงดนตรีอำนวย กล่ำพัด โดยได้รับค่าแรงเพียงคืนละ 25 บาท ต่อมาเขาได้เลื่อนขั้นเป็นโฆษกประชาสัมพันธ์ให้กับวง ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น 35 บาท

โอกาสทองมาถึงเมื่อนักแสดงตัวตลกของวงไม่มาทำการแสดง บุญศรีจึงได้รับโอกาสให้แสดงแทน ด้วยพรสวรรค์และไหวพริบปฏิภาณ เขาสามารถสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ชมได้อย่างล้นหลาม จนได้รับฉายา “มิสเตอร์อาร์วีลอน” และได้แสดงเป็นตัวตลกประจำวงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

การก้าวสู่การเป็นนักแต่งเพลง: จุดเริ่มต้นของตำนาน

ในช่วงที่ร่วมแสดงกับวง “ศรีสมเพชร” บุญศรีได้เริ่มฝึกฝนการแต่งเพลง เพลงแรกที่เขาแต่งคือ “บ่าวเคิ้น” ซึ่งใช้ทำนองซอปั่นฝ้าย ตามมาด้วยเพลง “ลุงอดผอมะได้” ซึ่งทั้งสองเพลงนี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม จนทำให้ชื่อของบุญศรี รัตนัง เป็นที่รู้จักในวงกว้าง

ความโดดเด่นในการแต่งเพลงของบุญศรีอยู่ที่การผสมผสานระหว่างดนตรีพื้นบ้านกับดนตรีสมัยใหม่ เขานำเอาเครื่องดนตรีพื้นเมืองอย่างขลุ่ย สะล้อ และซึง มาผสมผสานกับเครื่องดนตรีสากล สร้างมิติใหม่ให้กับวงการดนตรีล้านนา นอกจากนี้ เนื้อหาของเพลงที่แต่งยังสะท้อนวิถีชีวิต อารมณ์ขัน และปรัชญาชีวิตของชาวล้านนาได้อย่างลึกซึ้ง

ผลงานและความสำเร็จ: จากท้องถิ่นสู่ระดับชาติ

ตลอดชีวิตการทำงาน พ่อครูบุญศรีได้สร้างสรรค์ผลงานเพลงมากถึง 1,400 เพลง บันทึกเทปจำนวน 62 ชุด โดยมีเพลงฮิตมากมาย เช่น “บ่าวเคิ้น” “ลุงอดผอมะได้” “อาลัยนางเมีย” “ปิ๊กบ้านกว๊านพะเยา” และ “ขี้เมาสามช่า” ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนเพลงจนถึงทุกวันนี้

นอกจากการแต่งเพลง พ่อครูบุญศรียังเป็นผู้บุกเบิกในหลายด้าน เช่น:

1. การนำเครื่องดนตรีพื้นเมืองมาผสมผสานกับเครื่องดนตรีสาก
2. การสร้างสรรค์เพลงลูกทุ่งตลกคำเมือง
3. การพัฒนาการแหล่คำเมือง
4. การใช้ซอเพื่อการศึกษาและสร้างอาชีพ

ผลงานของพ่อครูบุญศรีไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพลง แต่ยังรวมถึงการเขียนบทความ เรื่องเล่า และการรวบรวมตำนานพื้นบ้าน เช่น เรื่องผีปู่ย่า ผีปอบ และนิทานพื้นบ้านต่างๆ ซึ่งช่วยอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมล้านนาไว้อย่างมีคุณค่า

ความสามารถอันโดดเด่นของพ่อครูบุญศรีได้รับการยอมรับผ่านรางวัลมากมาย อาทิ:
– ปี 2525: รางวัลสื่อชาวบ้านดีเด่น จาก พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ องคมนตรี
– ปี 2537: รางวัลศิลปินดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับชาติ
– ปี 2539: รางวัลศิลปินพระพิฆเนศทอง รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9
– ปี 2542: ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากสถาบันราชภัฏเชียงใหม่
– ปี 2552: ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นแห่งชาติ
– ปี 2554: ครูภูมิปัญญาไทย
– ปี 2560: ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีพื้นบ้านล้านนา)

เพลงของพ่อครูบุญศรี รัตนัง

  1. “บ่าวเคิ้น” – เป็นเพลงแรกที่พ่อครูบุญศรีแต่ง ใช้ทำนองซอปั่นฝ้าย
  2. “ลุงอดผอมะได้” – เพลงที่สองที่แต่ง และเป็นหนึ่งในเพลงที่ได้รับความนิยมมาก
  3. “อาลัยนางเมีย”
  4. “ปกบ่านก่วานพะเยา”
  5. “ขี้เมาสามช่า” – เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมล่าสุดตามที่ระบุในเอกสาร

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลงานเพลงของพ่อครูบุญศรี ดังนี้:

  • พ่อครูบุญศรีได้แต่งเพลงลูกทุ่งคำเมืองไว้ทั้งหมด 1,400 เพลง
  • มีการบันทึกเทปจำนวน 62 ชุด
  • ชุดเพลงที่ได้รับความนิยมมาก ได้แก่:
  • ชุดแรก “ลุงอดผอมะได้”
  • ชุดซอสามจังหวะ
  • ชุดลูกทุ่งเบิกฟ้า
  • ชุดนักเลงไก่ชน
  • ชุด ว2 ว8
  • ชุดแต่งดั้งควาย
  • ชุดขี้เมาสามช่า

ควรสังเกตว่า นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลงานทั้งหมดของพ่อครูบุญศรี เนื่องจากท่านมีผลงานมากมายตลอดชีวิตการเป็นศิลปิน

การสืบสานและถ่ายทอด: การสร้างรากฐานให้กับอนาคต

สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่ารางวัลและความสำเร็จคือการที่พ่อครูบุญศรีได้อุทิศตนเพื่อถ่ายทอดความรู้สู่คนรุ่นหลัง ในปี 2548 เขาได้เปิด “ศูนย์สืบสานร่อยล้านนา ภูมิปัญญาท้องถิ่น” ณ บ้านเลขที่ 83 หมู่ 3 บ้านหนองเตาคำ ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่

ศูนย์แห่งนี้เปิดสอนการขับซอทำนองต่างๆ การเป่าปี่ การดีดซึง การสีสะล้อ การตีกลองโปงโปง และการตีกลองสะบัดชัย โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น นับเป็นการทำหน้าที่อนุรักษ์และสืบสานศิลปวัฒนธรรมล้านนาอย่างแท้จริง

ผลกระทบและอิทธิพล: เสียงซอที่ก้องไกล

อิทธิพลของพ่อครูบุญศรีไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในวงการดนตรีพื้นบ้านเท่านั้น แต่ยังแผ่ขยายไปสู่วงการดนตรีร่วมสมัยและวงการศิลปะแขนงอื่นๆ ด้วย หลายคนมองว่าผลงานของเขาเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นใหม่หันมาสนใจรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตนเองมากขึ้น

ในแวดวงการศึกษา ผลงานและแนวคิดของพ่อครูบุญศรีได้ถูกนำไปศึกษาวิจัยในระดับอุดมศึกษา ทั้งในด้านดนตรีศึกษา มานุษยวิทยา และสังคมวิทยา เป็นการยืนยันถึงคุณค่าทางวิชาการของภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ถ่ายทอดผ่านบทเพลงและการแสดงของเขา

นอกจากนี้ การที่พ่อครูบุญศรีได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติ ยังเป็นการยกระดับศิลปะพื้นบ้านให้ได้รับการยอมรับในระดับชาติ เป็นการสร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวล้านนาและเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินท้องถิ่นในภูมิภาคอื่นๆ ได้เห็นว่า ศิลปะพื้นบ้านสามารถก้าวไกลและได้รับการยอมรับในระดับประเทศได้

มองไปข้างหน้า: อนาคตของดนตรีพื้นบ้านล้านนา

แม้ว่าพ่อครูบุญศรีจะมีอายุมากขึ้น แต่เสียงซอและบทเพลงของเขายังคงก้องกังวานอยู่ในหัวใจของผู้คนมากมาย คำถามสำคัญคือ อนาคตของดนตรีพื้นบ้านล้านนาจะเป็นอย่างไรในยุคที่เทคโนโลยีและวัฒนธรรมต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว?

พ่อครูบุญศรีเองมองว่า การอนุรักษ์และสืบสานศิลปะพื้นบ้านไม่ใช่การปฏิเสธความเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการปรับตัวและผสมผสานอย่างชาญฉลาด เขาเชื่อว่าหัวใจของศิลปะพื้นบ้านคือการสื่อสารกับผู้คนร่วมสมัย ดังนั้น การนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาช่วยในการเผยแพร่และสร้างสรรค์ผลงาน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ขัดแย้งกับแก่นแท้ของศิลปะพื้นบ้าน

ในขณะเดียวกัน การที่มีศิลปินรุ่นใหม่หลายคนหันมาสนใจและนำเอาดนตรีพื้นบ้านมาผสมผสานกับดนตรีร่วมสมัย ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่า รากเหง้าทางวัฒนธรรมยังคงมีพลังและความหมายสำหรับคนรุ่นใหม่

สรุป: เสียงซอที่ไม่มีวันเงียบ

ชีวิตและผลงานของพ่อครูบุญศรี รัตนัง เป็นบทพิสูจน์ว่า ศิลปะพื้นบ้านไม่ใช่สิ่งที่ล้าสมัยหรือตายตัว แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเติบโต เปลี่ยนแปลง และสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนได้เสมอ เสียงซอของเขาไม่เพียงแต่บอกเล่าเรื่องราวของอดีต แต่ยังสะท้อนปัจจุบันและชี้นำอนาคตของวัฒนธรรมล้านนา

ในขณะที่โลกหมุนไปอย่างรวดเร็ว เสียงซอของพ่อครูบุญศรียังคงเตือนใจเราว่า รากเหง้าทางวัฒนธรรมคือสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเราเป็นใครและมาจากไหน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นจุดเริ่มต้นให้เราก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและภาคภูมิ

เสียงซอของพ่อครูบุญศรี รัตนัง อาจจะเงียบลงในวันหนึ่ง แต่เสียงสะท้อนของมันจะยังคงก้องกังวานในหัวใจของชาวล้านนาและผู้รักศิลปะพื้นบ้านไปอีกนานแสนนาน เพราะนี่ไม่ใช่เพียงเสียงของคนๆ หนึ่ง แต่เป็นเสียงของวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และจิตวิญญาณของผู้คนทั้งแผ่นดิน

แหล่งที่มา : โครงการสำรวจข้อมูลปราชญ์ท้องถิ่นล้านนา โดย นายวุฒิภัทร เกตุพัฒนพล ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้