Sansai Discovery

Tag: วัฒนธรรม — ไทย(ภาคเหนือ)

  • ดอกไม้ไหว: มนต์เสน่ห์แห่งศิลปะล้านนา

    ดอกไม้ไหว: มนต์เสน่ห์แห่งศิลปะล้านนา

    ดอกไม้ไหว เป็นเครื่องประดับโบราณที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรมของชาวล้านนา นอกจากจะสะท้อนถึงภูมิปัญญาและความประณีตในงานหัตถศิลป์แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อและวิถีชีวิตของผู้คนในภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน มีกระบวนการผลิตที่ปราณีต และทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม รวมถึงการประยุกต์ใช้ดอกไม้ไหวในบริบทสังคมปัจจุบัน จากธรรมชาติสู่งานศิลป์ ดอกไม้ไหวไม่ใช่เพียงเครื่องประดับธรรมดา แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความงามตามธรรมชาติของดอกไม้กับความชำนาญในงานโลหะของช่างฝีมือ ชิ้นงานที่ได้จึงเป็นดอกไม้จำลองที่เคลื่อนไหวได้อย่างอ่อนช้อย สั่นไหวได้แม้เพียงลมหายใจเบา ๆ ผ่านมาสัมผัส วิธีการทำ การทำดอกไม้ไหวเป็นงานที่ต้องใช้ความประณีตและความอดทนสูง โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้: คุณค่าทางวัฒนธรรม ดอกไม้ไหวมีความสำคัญทางวัฒนธรรมหลายประการ: จากอดีตสู่ปัจจุบัน แม้ว่าในอดีตดอกไม้ไหวจะใช้เป็นเครื่องประดับผมของสตรีเป็นหลัก แต่ปัจจุบันการใช้งานได้ขยายวงกว้างขึ้น: การอนุรักษ์และสืบสาน ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่างการทำดอกไม้ไหวจึงมีความสำคัญยิ่ง หลายหน่วยงานและชุมชนในภาคเหนือได้จัดการอบรมและสาธิตวิธีการทำดอกไม้ไหว เพื่อถ่ายทอดความรู้นี้สู่คนรุ่นใหม่ นับเป็นความพยายามในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่านี้ให้คงอยู่สืบไป ดอกไม้ไหว จึงไม่ใช่เพียงเครื่องประดับธรรมดา แต่เป็นตัวแทนของภูมิปัญญา ความเชื่อ และศิลปะอันงดงามของชาวล้านนา ที่ยังคงส่งต่อเรื่องราวและความงามจากอดีตสู่ปัจจุบัน เชื่อมโยงผู้คนเข้ากับรากเหง้าทางวัฒนธรรมของตนเองได้อย่างมีชีวิตชีวา แหล่งที่มา อัศวศิลป์ แผ่นชัยภูมิ. (2567, สิงหาคม 9). ครูภูมิปัญญาล้านนา สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่. สัมภาษณ์

  • การฉลุลายสวยงาม สร้างตุงล้านนา เพื่อประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ

    การฉลุลายสวยงาม สร้างตุงล้านนา เพื่อประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ

    การฉลุลาย การฉลุลาย เป็นขั้นตอนแรกในการประดิษฐ์ตุงขึ้นมา โดยการฉลุเป็นวิธีหนึ่งในการทำให้เกิดลวดลายลงบนวัสดุ ต่าง ๆ เช่น กระดาษ ผ้า แผ่นไม้ แผ่นโลหะ โดยใช้เครื่องมือที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของวัสดุนั้น ๆ อย่างงานฉลุกระดาษและผ้าจะใช้สิ่วและค้อนในการตอกลงบนวัสดุให้เกิดลายสวยงาม ประวัติความเป็นมาของการฉลุลายไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่ามีที่มาอย่างไร เพียงแค่มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก่อนมีการฉลุลายในสมัยโบราณมีการตัดลายจากกระดาษตะกั่วด้วยกรรไกรเป็นวิธีการแรก เนื่องจากไม่มีเครื่องมือที่หลากหลายเหมือนในปัจจุบัน จึงใช้กรรไกรตัดลวดลายตามจินตนาการของแต่ละคน นอกจากนี้การตัดลายด้วยกรรไกรเป็นวิธีการที่ยังคงมีการใช้งานจนถึงปัจจุบัน ตุงล้านนา ตุงล้านนา เป็นเครื่องใช้ที่ใช้ในการประดับตกแต่งและใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆในวัฒนธรรมล้านนา เพื่อเป็นพุทธบูชา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อสืบชะตาให้ตนเอง ประวัติความเป็นมาของตุงล้านนา ความเชื่อของตุงล้านนา ประเภทของตุงล้านนา การแบ่งประเภทของตุงล้านนามักอ้างอิงตามพิธีกรรมที่จะใช้งานได้ 4 ประเภท ดังนี้ ข้อห้ามของตุงล้านนา ชาวล้านนาไม่นิยมนำตุงทุกประเภทมาแขวนไว้ในบ้าน ทำตุงเสร็จแล้วต้องนำไปถวายพระ เพราะส่วนใหญ่ตุงมีไว้เพื่อตัวเราในภายภาคหน้า และผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่สามารถนำไปแขวนไว้ที่ร้านอาหาร ร้านค้าทั่วไปได้ที่ผู้คนไม่อยู่อาศัย ความแตกต่างในอดีตและปัจจุบัน จากคำบอกเล่าของครูอัศวศิลป์ แผ่นชัยภูมิ ซึ่งเป็นครูภูมิปัญญาล้านนาที่มีความเชี่ยวชาญในการสืบสานวัฒนธรรม ได้กล่าวว่า ตุงในอดีตกับตุงในปัจจุบันยังคงมีความเหมือนกันมาก เนื่องจากท่านได้ทำการอนุกรักษ์ตุงล้านนาให้ใกล้เคียงกับสมัยก่อนมากที่สุด แต่ก็มีการประยุกต์วิธีการทำลวดลายด้วยการนำเครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาใช้มากขึ้น แต่ตุงที่ครูอัศวศิลป์เผยแพร่ยังคงใช้การตัดกระดาษด้วยกรรไกรอยู่ แต่เพิ่มการฉลุลายด้วยสิ่วเข้ามาด้วย การสืบสานวัฒนธรรม การสืบสานวัฒนธรรมของเชียงใหม่จะมีชั่วโมงเรียนการสืบสานภูมิปัญญาล้านนาของแต่ละโรงเรียนลงไปในหลักสูตรการเรียนการสอนด้วย แต่จะไม่จำกัดว่าเรียนเพียงแค่การประดิษฐ์ตุงล้านนาอย่างเดียว…

  • “ส่งเคราะห์” พิธีกรรมทางล้านนา ส่งสิ่งชั่วร้าย เพื่อให้อยู่สุขสบาย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และอันตรายทั้งปวง

    “ส่งเคราะห์” พิธีกรรมทางล้านนา ส่งสิ่งชั่วร้าย เพื่อให้อยู่สุขสบาย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และอันตรายทั้งปวง

    พิธีกรรมของแต่ละพื้นที่ถึงแม้จะมีชื่อเรียกและใจความสำคัญเหมือนกัน แต่รายละเอียดต่าง ๆ มีความแตกต่างกันไปเล็กน้อยตามความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละชุมชน รวมถึงคาถาในการส่งเคราะห์ก็แตกต่างกันไปตามตำราที่บุคคลศึกษามา พิธีกรรมส่งเคราะห์ เกิดจากการที่บุคคลถูกคนทำไม่ดีใส่ ประสบอุบัติเหตุ ค้าขายไม่ได้กำไร เจ็บป่วย อย่างมีสาเหตุหรือไม่มีสาเหตุก็ได้ ถือว่าบุคคลนั้นมีเคราะห์กรรมมากระทบ ต้องทำพิธีกรรมให้หายจาก โรคภัยไข้เจ็บ ไม่ให้มีเคราะห์ ให้อยู่สุขสบาย ช่วงเวลา ไม่มีการกำหนดวันในการทำพิธีตายตัว แต่จะทำก็ต่อเมื่อมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยและต้องการให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ให้มีเคราะห์มีหนาม โดยนิยมทำช่วงเช้า อุปกรณ์ 1. สะตวงที่ทำจากกาบกล้วย 1 อัน 2. ครัวห้า เช่น ข้าว 5 ก้อน กล้วย 5 ลูก อ้อย 5 อัน ส้ม 5 ผล น้ำ 5 ขวด และอาหารอย่างละ 5 ถ้วย (ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นอาหารชนิดไหน สามารถใช้ได้ทุกอย่าง) 3. เทียนเล็ก 5 เล่ม 4. เทียนใหญ่…

  • “จอบตุ่ม” การถอดพิษด้วยไข่ไก่

    “จอบตุ่ม” การถอดพิษด้วยไข่ไก่

    การจอบตุ่มหรือความเชื่อต่าง ๆ ของผู้คนบางครั้งไม่สามารถที่จะไปหาต้นเหตุหรือความเป็นมาได้แล้ว จึงต้องอาศัยการมาเล่าสู่กันฟังจากคนที่เขาเคยทำ เคยได้ยินมาก่อน และความเชื่อของแต่ละคนมีความต่างกันนิดหน่อย บอกไม่ได้ว่าใครถูกใครผิด ถึงแม้จะอยู่ในอำเภอเดียวกัน การจอบตุ่ม เป็นพิธีกรรมหนึ่งที่ช่วยในการรักษาโรค โดยคำว่า “จอบ” หมายถึง ชักจูง หรือล่อให้ตาม ส่วนคำว่า “ตุ่ม” หมายถึง เม็ดที่เกิดขึ้นตามผิวหนัง ดังนั้น “การจอบตุ่ม” เป็นการล่อให้ตุ่มหรือพิษ ออกจากร่างกายเมื่อบุคคลนั้นไม่สบาย ไข้ไม่ยอมลด แม้จะให้ยากินแล้วก็ตาม ชาวบ้านเชื่อกันว่า อาจมีตุ่มลี้หรือตุ่มที่มีพิษซ่อนอยู่ในร่างกายแต่ไม่ปรากฏออกมาตามผิวหนัง จึงต้องทำพิธีการจอบตุ่ม ให้พิษต่าง ๆ ออกมา ด้วยการใช้เหรียญแถบเป็นตัวล่อ (สนั่น ธรรมธิ,2553) ภาพโดย : เพจ mgronline ช่วงเวลา ไม่มีช่วงเวลาที่แน่นอน โดยจะทำพิธีก็ต่อเมื่อมีผู้เจ็บป่วยต้องการให้คนทำพิธีรักษาให้ เนื่องจากรักษาด้วยทางการแพทย์แล้วยังคงมีอาการเจ็บป่วยอยู่ (สุรพล สุเทนะ, สัมภาษณ์, 30 มกราคม 2567) สถานที่ในการทำพิธี สถานที่ในการทำพิธีสามารถทำได้ทั้งบ้านของคนทำพิธีและบ้านของผู้ป่วยเองแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน (สุรพล สุเทนะ, สัมภาษณ์, 30 มกราคม…

  • “ความเชื่อกับภัยที่เกิดจากฝน” หนทางสู่การเอาชนะธรรมชาติ

    “ความเชื่อกับภัยที่เกิดจากฝน” หนทางสู่การเอาชนะธรรมชาติ

    ภัยที่เกิดจากฝน เป็นภัยที่มาจากการเกิดฝนตกหนักหรือฝนตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งกลายเป็นน้ำท่วม และน้ำท่วมฉับพลัน โดยเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหาย ความยากลำบากและความท้าทายที่ หลากหลายให้แก่ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวต้องไร้บ้านกลายเป็นผู้พลัดถิ่น สูญเสียทั้งทรัพย์สินเงิน ทอง ทำให้เกิดการรับมือกับภัยจากฝนด้วยการนำความเชื่อและพิธีกรรมต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง การรับมือกับภัยจากฝน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 : การวางแผนรับมือกับภัยจากฝน ส่วนที่ 2 : การรับมือป้องกันภัยจากฝน ซึ่งสามารถใช้วิธีนี้ได้ทั้งช่วงที่ฝนยังไม่ตกและฝนตกแล้ว ภาพโดย : เพจ silpa-mag แหล่งที่มา ชยุตภัฎ คำมูล. (2567, มกราคม 23). ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สังกัดคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้. สัมภาษณ์

  •  “ความเชื่อกับภัยจากลมพายุ” ต่อต้านการเกิดมหัตภัยเลวร้าย

     “ความเชื่อกับภัยจากลมพายุ” ต่อต้านการเกิดมหัตภัยเลวร้าย

    ภัยจากลมพายุ เป็นภัยที่เกิดขึ้นจากพายุลมแรง จนทำให้เกิดความเสียหายแก่อาคารบ้านเรือน ต้นไม้ และสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเป็นอันตรายแก่ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ทำให้เกิดการพยายามต่อสู้เอาชนะภัยจาก ลมพายุ ถึงแม้ว่าจะสู้ไม่ได้เนื่องจากเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้นาน ผู้คนสามารถรับรู้ได้ ก่อนที่จะเกิดไม่กี่นาทีเท่านั้น จึงใช้ความเชื่อและพิธีกรรมต่าง ๆ เข้ามารับมือกับภัยจากลมพายุแทน การรับมือกับภัยจากลมพายุ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 : การวางแผนรับมือกับภัยจากลมพายุ ส่วนที่ 2 : การเตรียมตัวรับมือกับภัยจากลมพายุ ช่วงที่มีการจัดงานสำคัญ ๆ มักจะมีลมพายุพัดแรงมาทำลายพิธีกรรมต่าง ๆ ผู้คนเชื่อว่ามีพญามารมาคอยขัดขวางไม่ให้พิธีสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ภาพโดย : เพจวัดอุปคุต ส่วนที่ 3 : การรับมือเมื่อทำพิธีป้องกันภัยจากลมพายุแล้ว แต่ยังเกิดขึ้นอยู่ ภัยจากลมพายุแตกต่างจากภัยอื่น ๆ ตรงที่เมื่อลมพายุเกิดขึ้นไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ ผู้คนสามารถรับรู้ได้ก่อนที่จะเกิดประมาณ 5 นาที และภัยที่เกิดจากลมพายุทุกคนต้องหาวิธีแก้ไขเฉพาะหน้าด้วยตัวเอง รวมถึงการนิยมทำขึดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าอะไรที่จะเกิดพอขึดแล้วมันจะไม่เกิดไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี ๆ หรือสิ่งไม่ก็ตาม ผู้คนจึงนำความเชื่อนี้ไปเป็นกลอุบายในการทำให้ลมพายุที่จะเกิดขึ้นกลับกลายเป็นไม่เกิด แหล่งที่มา ชยุตภัฎ คำมูล. (2567,…

  • ร่องรอยการต่อสู้กับธรรมชาติ “ความเชื่อเกี่ยวกับภัยแล้ง”

    ร่องรอยการต่อสู้กับธรรมชาติ “ความเชื่อเกี่ยวกับภัยแล้ง”

    ภัยแล้ง เป็นภัยที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นเวลานานจนก่อให้เกิดความแห้งแล้ง และส่งผลกระทบต่อชุมชน ซึ่งภัยแล้งเป็นภัยสำคัญอันดับต้น ๆ ของผู้คนในอดีต เพราะว่าชาวบ้านสมัยก่อนนิยมทำเกษตรกันเป็นอาชีพหลัก ภัยแล้งมาเยือนเมื่อไหร่ความลำบากเข้ามาหาแน่นอน ข้าวก็จะไม่มีกิน คนสมัยก่อนจึงคิดหาวิธีการรับมือกับภัยแล้งด้วยความเชื่อต่าง ๆ การรับมือกับภัยแล้ง สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 : การวางแผนรับมือกับภัยแล้ง เป็นการคาดการณ์ว่าแต่ละปีจะเกิดภัยแล้งมากน้อยเพียงใด ถึงแม้ว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยและฟังจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้ แต่คนสมัยก่อนเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้และไม่นิ่งนอนใจเรื่องภัยแล้งจึงมีการสังเกตแล้วก็สอนกันมาอย่างยาวนาน   ภาพโดย : เพจโอ.เค.บุ๊คสโตร์ ส่วนที่ 2 : การเตรียมตัวรับมือกับภัยแล้ง คนล้านนาในสมัยก่อนส่วนใหญ่นิยมทำนา ทำการเกษตรกันซึ่งชาวบ้านจะทำไร่ทำนาช่วงเดือน 10 ของภาคเหนือหรือเดือนกรกฎาคม โดยการนับเดือนของล้านนาจะนับแบบจันทรคติ ซึ่งจันทรคติของล้านนาจะเร็วกว่าจันทรคติของภาคกลาง 2 เดือน ในช่วงเดือน 9 ของภาคเหนือก่อนทำการเกษตรต้องมีการบวงสรวง กราบไว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่าง เพื่อป้องกันภัยแล้งและเพื่อให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล ภาพโดย : เพจไทยรัฐออนไลน์ ส่วนที่ 3 : การรับมือเมื่อทำพิธีป้องกันภัยแล้งแล้ว แต่ยังเกิดขึ้นอยู่ มอม (สัตว์ในป่าหิมพานต์) : ภาพโดย…

  • “ผีหม้อนึ่ง” ที่พึ่งทางใจของชาวล้านนา

    “ผีหม้อนึ่ง” ที่พึ่งทางใจของชาวล้านนา

    เรื่องราวของผีหม้อนึ่งที่ถูกเล่าผ่านมุมมองของผู้ที่เคยพบเห็นไม่ใช่ผู้สืบทอดโดยตรง ซึ่งเล่าเรื่องราวโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ชยุตภัฎ คำมูล เป็นอาจารย์สังกัดคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่ทำงานอยู่ภายในพื้นที่ของอำเภอสันทราย แต่อาจารย์มีความรู้เกี่ยวกับการลงผีหม้อนึ่งจากบ้านเกิดอำเภอแม่แตง ถึงแม้จะต่างอำเภอกัน มีจุดแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ใจความสำคัญเหมือนกัน และการแบ่งพื้นที่ทางวัฒนธรรมไม่มีการแบ่งที่ชัดเจนเหมือนกับการแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงเป็นการใช้วัฒนธรรมของชาวล้านนาร่วมกันอีกด้วย ผีหม้อนึ่ง คือ ผีชนิดหนึ่งที่อยู่ในจำพวกผีเรือนซึ่งสถิตอยู่กับหม้อที่ใช้นึ่งข้าว และเป็นความเชื่อที่เสมือนการเสี่ยงทายรูปแบบหนึ่งเพื่อช่วยเหลือผู้คนในกรณีที่วิทยาศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้ อย่างการเจ็บป่วยที่ไม่รู้สาเหตุ หรือ การเจ็บป่วยบ่อยเกินกว่าปกติ อุปกรณ์ในการลงผีหม้อนึ่ง 1. หม้อนึ่ง2. ไหข้าว3. ข้าวสารประมาณ 1 ลิตร4. กระด้งใส่ข้าวสาร5. เงิน ซึ่งแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกันไป อย่างของอำเภอแม่แตงจะใช้เงินจำนวน 22 บาท แต่ในหนังสือสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือเขียนไว้ว่าใช้เงินจำนวน 13 สตางค์6. ดอกไม้ธูปเทียน7. เสื้อ 1 ตัว8. ไม้ที่ยาวประมาณ 2 ศอก สามารถนำสอดแขนเสื้อทั้งข้างซ้ายและข้างขวาได้ ภาพโดย : สมาคมคนเหนือ ภาพโดย : อักขณิช ศรีดารัตน์ ขั้นตอนในการทำพิธี 1. เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ มาทำพิธีที่บ้านของผู้ทำพิธี2.…

  • “ประเพณีปอยหลวง” การเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของชาวล้านนา

    “ประเพณีปอยหลวง” การเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของชาวล้านนา

    คำว่า “ปอย” เป็นคำพื้นเมืองของภาคเหนือ หมายถึง งานฉลองรื่นเริง คำว่า “หลวง” หมายถึง ยิ่งใหญ่ ความเป็นมา สมัยพุทธกาลมีนางวิสาขามหาอุบาสิกา ได้สร้างวัดชื่อ “บุพพาราม” ถวายแก่พระพุทธเจ้า ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า วัดที่ประดิษฐานขึ้นมามีความงดงามมาก เมื่อสร้างเสร็จนางจึงจัดให้มีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่และสนุกสนาน รวมถึงนางวิสาขามหาอุบาสิกาได้พาลูกหลานมาฟ้อนรำรอบวิหาร ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้มีการจัดงานประเพณีปอยหลวงขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน ความสำคัญ ประเพณีปอยหลวง เป็นการเฉลิมฉลองถาวรวัตถุของวัดหรือสิ่งก่อสร้างที่ผู้คนช่วยกันประดิษฐานขึ้นมาเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ และเพื่อให้เกิดอานิสงส์แก่ตนเองและครอบครัวถือว่าได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องแสดงถึงความสามัคคีกลมเกลียวของคณะสงฆ์และชาวบ้าน ไม่เพียงแค่มีการฉลองที่ยิ่งใหญ่แต่ยังมีการจัดงานประเพณีปอยหลวงที่นิยมทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ปู่ย่าตายาย หรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ได้จากการจัดงานประเพณีปอยหลวงก็คือการแสดงความชื่นชม ยินดีร่วมกันและสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินให้แก่คนในท้องถิ่นด้วยการจัดมหรสพ เช่น หนังใหญ่ ลิเก โนรา และการฟ้อนรำ (ยุพา พลสามารถ, 2557) ช่วงเวลาในการจัดประเพณีปอยหลวง ประเพณีปอยหลวงมักจัดในช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนยี่จนถึงเดือนหกของภาคเหนือ ซึ่งตรงกับเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคมของภาคกลาง (พระครูจันทสรการ, สัมภาษณ์, 19 มกราคม 2567) ขั้นตอนในการจัดงานประเพณีปอยหลวง 1. วัดที่ต้องการจัดงานประเพณีปอยหลวงจะต้องมีการก่อสร้างถาวรวัตถุ เช่น โบสถ์ วิหาร กุฏิสงฆ์ เจดีย์ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับความเจริญของแต่ละพื้นที่…

  • “ตั้งธรรมหลวง” เทศน์มหาชาติ ฟังธรรมครั้งยิ่งใหญ่

    “ตั้งธรรมหลวง” เทศน์มหาชาติ ฟังธรรมครั้งยิ่งใหญ่

    ตั้งธรรมหลวง หมายถึง การเทศน์ธรรมชาดกที่ยาวกว่าเรื่องอื่น ๆ และเป็นการฟังเทศน์ครั้งใหญ่ มีคนมาร่วมฟังเทศน์กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งการฟังเทศน์ครั้งใหญ่มีทั้งการฟังเทศน์แบบธรรมวัตรและฟังมหาเวสสันดรด้วย (ปณิตา สระวาสี, 2559) รูปแบบการตั้งธรรมหลวง มี 2 แบบ (ปณิตา สระวาสี, 2559) ดังนี้ วัตถุประสงค์ ช่วงเวลาในการตั้งธรรมหลวง การตั้งธรรมหลวงส่วนใหญ่จะจัดในช่วงเดือนยี่เป็งหรือวันลอยกระทง และมีการจัดในช่วงเดือนสี่เป็ง นอกจากนี้ยังมีการตั้งธรรมฟังเทศน์มหาชาติในกรณีพิเศษ คือ การฉลองพระชนมพรรษต่าง ๆ และวาระโอกาสสำคัญของแต่ละสถานที่ การตั้งธรรมหลวงของวัดทุ่งหมื่นน้อย วัดทุ่งหมื่นน้อยมีการตั้งธรรมหลวงช่วงสิ้นปีเป็นการรวมเข้าด้วยกันกับการจัดสวดมนต์ข้ามปี แต่การตั้งธรรมหลวงมีตั้งแต่เช้า เพื่อดึงญาติโยมให้อยู่วัดทั้งวัน การตั้งธรรมหลวงจัดขึ้นแต่ละครั้งนั้นยาก เพราะต้องใช้ความสมัครสมานสามัคคีและความพร้อมในหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถานที่ ซึ่งการตั้งธรรมหลวงของวัดทุ่งหมื่นน้อยถือว่าเป็นการสืบชะตาอายุตามแต่ละปีนักกษัตร โดยจะมีการเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ แต่ปีนักกษัตรมีเพียง 12 ปีเท่านั้น จึงจัดให้การเทศน์มหาชาติกัณฑ์ที่ 13 เป็นการชุมนุมรวมชะตาทุกปีเกิด รวมทั้งมีการจำลองเขาวงกต ซึ่งเป็นเรื่องราวตอนหนึ่งในมหาเวสสันดรชาดกตอนที่ พระเวสสันดรออกจากเมืองไปบำเพ็ญบารมีในป่าเขาวงกต เด็ก ๆ ที่มาวัดได้มาเล่นเขาวงกตนี้ก็จะรู้สึกสนุกสนานไปด้วย (พระครูจันทสรการ, สัมภาษณ์, 19 มกราคม…