Mindblown: a blog about philosophy.
-
จิตรกรรมฝาผนังล้านนา: มรดกทางวัฒนธรรมผ่านฝีมือเรืองศักดิ์ บุญมา
ในยุคที่ศิลปะร่วมสมัยกำลังเฟื่องฟู การอนุรักษ์และสืบสานศิลปะดั้งเดิมกลับทวีความสำคัญมากขึ้น หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของการรักษามรดกทางวัฒนธรรมนี้คือ งานจิตรกรรมฝาผนังล้านนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของนายเรืองศักดิ์ บุญมา ศิลปินชาวเชียงใหม่ผู้มีประสบการณ์กว่า 36 ปีในวงการ ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม จิตรกรรมฝาผนังไม่เพียงแต่เป็นงานศิลปะ แต่ยังเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่มีชีวิต ผลงานของเรืองศักดิ์สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ ประเพณี และวิถีชีวิตของชาวล้านนาได้อย่างลึกซึ้ง การวาดภาพพุทธประวัติ 35 ตอน เรื่องราวของพระเวสสันดร และภาพประเพณีพื้นบ้าน ไม่เพียงแต่สวยงาม แต่ยังทำหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้และคุณค่าทางวัฒนธรรมสู่คนรุ่นหลัง เทคนิคและกระบวนการสร้างสรรค์ การศึกษากระบวนการทำงานของเรืองศักดิ์เผยให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างเทคนิคโบราณและวัสดุสมัยใหม่ การใช้สีน้ำพลาสติกและสีน้ำมันแทนสีฝุ่นแบบดั้งเดิม แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวของศิลปะพื้นบ้านในยุคสมัยใหม่ แต่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของลวดลายล้านนาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ กระบวนการทำงานที่ละเอียดอ่อน ตั้งแต่การร่างภาพด้วยดินสอไปจนถึงการตกแต่งด้วยสีทอง สะท้อนให้เห็นถึงความพิถีพิถันและความเคารพต่อศิลปะดั้งเดิม การอนุรักษ์และการสืบทอด ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลครอบงำทุกแง่มุมของชีวิต การที่ศิลปินอย่างเรืองศักดิ์ยังคงยึดมั่นในการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมฝาผนังแบบดั้งเดิม จึงเป็นการอนุรักษ์ที่มีชีวิต งานของเขาไม่เพียงแต่รักษาเทคนิคและลวดลายโบราณ แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจและสืบทอดศิลปะแขนงนี้ มิติทางสังคมและวัฒนธรรม นอกเหนือจากคุณค่าทางศิลปะ ผลงานของเรืองศักดิ์ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความภาคภูมิใจและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมให้แก่ชุมชนท้องถิ่น การที่วัดหลายแห่งในอำเภอสันทรายและพื้นที่ใกล้เคียงมีจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของเขา ไม่เพียงแต่เพิ่มคุณค่าทางสุนทรียะให้กับสถานที่ แต่ยังเป็นการรักษาและฟื้นฟูจิตวิญญาณของชุมชนผ่านงานศิลปะ ความท้าทายและโอกาสในอนาคต แม้ว่าจิตรกรรมฝาผนังจะเป็นศิลปะที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายในยุคปัจจุบัน ทั้งในแง่ของการสืบทอดความรู้และการดึงดูดความสนใจจากคนรุ่นใหม่ อย่างไรก็ตาม กรณีของเรืองศักดิ์แสดงให้เห็นว่า ยังมีโอกาสในการผสมผสานเทคนิคดั้งเดิมกับแนวคิดร่วมสมัย เพื่อสร้างสรรค์งานที่ทั้งรักษามรดกทางวัฒนธรรมและตอบสนองต่อบริบทสังคมปัจจุบัน บทสรุป จิตรกรรมฝาผนังล้านนาของเรืองศักดิ์ บุญมา ไม่เพียงแต่เป็นงานศิลปะที่งดงาม แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีตและปัจจุบัน…
-
ภูมิปัญญาล้านนา: มรดกทางวัฒนธรรมจากแม่ครูศรีแก้ว ศรีรินทร์
ในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การรักษาไว้ซึ่งภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หนึ่งในผู้ทรงภูมิปัญญาล้านนาที่น่าสนใจคือ แม่ครูศรีแก้ว ศรีรินทร์ วัย 93 ปี จากจังหวัดเชียงใหม่ ท่านเป็นผู้สืบทอดและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมล้านนาที่มีคุณค่ามากมาย ภูมิปัญญาด้านพิธีกรรม แม่ครูศรีแก้วมีความเชี่ยวชาญในการจัดเครื่องพลีกรรมแบบล้านนา ซึ่งรวมถึง: 1. การจัดดาครัวสืบชะตา2. การจัดดาครัวบูชาขัน 53. การจัดดาครัวขึ้นท้าวทั้งสี่4. การจัดดาสะตวง5. การจัดดาครัวสงเคราะห์ นอกจากนี้ ท่านยังมีความสามารถในการทำสวยดอก ตัดช่อ และตัดตุง ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญในพิธีกรรมล้านนา ศิลปะการประพันธ์ แม่ครูศรีแก้วไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในด้านพิธีกรรม แต่ยังมีพรสวรรค์ในการประพันธ์อีกด้วย ผลงานของท่านประกอบด้วย: – ค่าวฮ่ำ (บทกวีล้านนา) หลากหลายประเภท เช่น ค่าวฮ่ำพระคุณแม่ ค่าวฮ่ำพระคุณพ่อ– เพลงซออื้อ เช่น เพลงอื้อศีล 5 และเพลงซออื้อปีใหม่เมือง– คติธรรมสอนใจ และคำให้พรปีใหม่เมือง การบูชาขัน 5: ภูมิปัญญาในการรักษาสุขภาพ หนึ่งในพิธีกรรมที่น่าสนใจคือ การบูชาขัน 5 ซึ่งเชื่อว่าสามารถช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยที่แพทย์แผนปัจจุบันรักษาไม่หาย พิธีนี้ประกอบด้วยการถวายเครื่องบูชาจำนวน 43 ชิ้นของวัตถุต่างๆ เช่น เมี่ยง…
-
การสืบสานศิลปะการขับซอพื้นบ้านล้านนาผ่านภูมิปัญญาของนางนงค์นุช ชัยระวัง
ในยุคที่วัฒนธรรมสมัยใหม่กำลังครอบงำสังคมไทย การอนุรักษ์และสืบสานศิลปะพื้นบ้านกลายเป็นภารกิจสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ หนึ่งในศิลปะการแสดงที่ทรงคุณค่าของภาคเหนือคือ “การขับซอ” ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงภูมิปัญญา วิถีชีวิต และจิตวิญญาณของชาวล้านนา ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง ยังมีศิลปินพื้นบ้านที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อรักษาศิลปะแขนงนี้ให้คงอยู่ หนึ่งในนั้นคือ นางนงค์นุช ชัยระวัง หรือที่รู้จักกันในนามศิลปิน “วันเพ็ญ จางซอ” ผู้สืบทอดและเผยแพร่การขับซอพื้นบ้านล้านนามาอย่างยาวนาน จากรากเหง้าสู่การเป็นศิลปินขับซอ นางนงค์นุช เกิดที่บ้านหนองไคร์หลวง ตำบลหนองจ๊อม อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยพรสวรรค์และใจรักในศิลปะการขับซอ เธอได้ฝึกฝนและพัฒนาทักษะจนกลายเป็นศิลปินที่มีประสบการณ์มากกว่า 30 ปี ความสามารถ ของเธอไม่เพียงแต่การขับซอเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการประพันธ์บทซอในหลากหลายทำนองอีกด้วย ความหลากหลายของการขับซอ การขับซอของนางนงค์นุช ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรูปแบบดั้งเดิม แต่ยังประยุกต์ให้เข้ากับยุคสมัย เธอสามารถขับซอได้หลากหลายทำนอง เช่น ทำนองตั้งเชียงใหม่ จะปุ ละมาย เงี้ยว อื่อ ลองนาน พระลอ ซอปั่นฝ้าย และตั้งเชียงแสน นอกจากนี้ เธอยังได้สร้างสรรค์ “ซอสตริง” หรือ “ซอประยุกต์” ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างซอพื้นบ้านกับดนตรีสมัยใหม่ เพื่อดึงดูดความสนใจของคนรุ่นใหม่ บทบาทในการอนุรักษ์และเผยแพร่ นางนงค์นุชไม่เพียงแต่เป็นศิลปินเท่านั้น แต่ยังเป็นครูภูมิปัญญาที่ทุ่มเทในการถ่ายทอดความรู้สู่เยาวชนรุ่นหลัง เธอได้รับเชิญให้สอนการขับซอในโรงเรียนหลายแห่ง…
-
พ่อครูนิกร อินต๊ะ : ตำนานการขับซอล้านนา
ในโลกของดนตรีพื้นบ้านล้านนา มีชื่อหนึ่งที่โดดเด่นและเป็นที่เคารพนับถือมายาวนาน นั่นคือ “พ่อครูนิกร อินต๊ะ” หรือที่มีชื่อจริงว่า นายนิกร อินตะ ศิลปินผู้สืบสานและรักษาศิลปะการขับซอให้คงอยู่คู่แผ่นดินล้านนามาอย่างยาวนาน จุดเริ่มต้นของตำนาน เส้นทางการเป็นช่างซอของพ่อครูนิกรเริ่มต้นขึ้นเมื่อท่านอายุเพียง 15 ปี ด้วยความสนใจและพรสวรรค์ ท่านได้เข้าศึกษาวิชาการขับซอกับ “พ่อครูคำปวน หนองกุ้นครุ” ผู้เป็นครูคนแรก นับเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วงการขับซอล้านนาอย่างเต็มตัว การเดินทางสู่ความเชี่ยวชาญ เมื่ออายุ 21 ปี พ่อครูนิกรได้มีโอกาสร่วมงานกับวง ก. ประเสริฐศิลป์ ของแม่มุกดา บ้านแม่หอพระ ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาทักษะและประสบการณ์ ต่อมาท่านได้ย้ายไปร่วมงานกับคณะลูกแม่ปิงของแม่บัวตอง เมืองป่าว และคณะสายธาราของแม่จันทร์สม สายธารา ซึ่งเป็นคณะซอที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น การได้ร่วมงานกับคณะซอชื่อดังหลายคณะ ทำให้พ่อครูนิกรได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะการขับซอของตนเองอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นช่างซอที่มีความสามารถรอบด้าน ทั้งการขับซอและการแสดงละครซอ ความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย พ่อครูนิกรไม่เพียงแต่เป็นช่างซอเท่านั้น แต่ท่านยังมีความสามารถในการแสดงละครซอ โดยรับบทบาทที่หลากหลาย ทั้งพ่อของพระเอกนางเอก ตัวโกง และตัวตลก แสดงให้เห็นถึงความสามารถอันหลากหลายของท่าน นอกจากนี้ ท่านยังได้มีโอกาสแสดงละครซอออกรายการโทรทัศน์ทางช่อง 8 จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นการนำศิลปะการขับซอไปเผยแพร่ในวงกว้าง การสืบสานและอนุรักษ์ ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีในวงการขับซอ…
-
ชีวิตและผลงานของพ่อครูบุญศรี รัตนัง ศิลปินแห่งชาติ
ในอ้อมกอดของขุนเขาแห่งล้านนา มีเสียงดนตรีที่แทรกซึมอยู่ในสายลมและสายน้ำ เสียงที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้คน วิถีชีวิต และจิตวิญญาณแห่งดินแดนทางเหนือ เสียงนั้นคือเสียงซอ และหนึ่งในผู้ที่ทำให้เสียงซอยังคงก้องกังวานมาจนถึงปัจจุบันคือ พ่อครูบุญศรี รัตนัง ศิลปินแห่งชาติผู้ได้รับการขนานนามว่า “ขุนพลซอแห่งล้านนา” จากเด็กชายสู่ศิลปิน: จุดเริ่มต้นของเส้นทางดนตรี ณ บ้านหนองเตาคำ ตำบลป่าไผ่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เด็กชายบุญศรี รัตนัง เติบโตขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงและดนตรีพื้นบ้าน แม้จะเรียนจบเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนบ้านป่าเหมือดวิทยาคาร แต่ความรักในการอ่าน การเขียน และการศึกษาค้นคว้าได้หล่อหลอมให้เขากลายเป็นปราชญ์แห่งดนตรีล้านนาในเวลาต่อมา ชีวิตในวัยเยาว์ของบุญศรีไม่ต่างจากเด็กชนบททั่วไป เขาต้องช่วยครอบครัวทำมาหากิน ทั้งเผาถ่าน เลื่อยไม้ เก็บเห็ด และหาของป่าไปขาย แต่ภายใต้ภาระหน้าที่เหล่านั้น เสียงเพลงและดนตรียังคงเป็นความฝันที่เขาไม่เคยละทิ้ง จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี 2514 เมื่อบุญศรีตัดสินใจเริ่มเรียนการเป่าปี่ แต่ด้วยความที่การเป็นช่างเป่าปี่ได้รับค่าตอบแทนน้อยกว่าช่างขับซอ เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนมาเรียนการขับซอกับพ่อครูจันทร์ตา ต้นเงิน แห่งบ้านป่าแงะ ตำบลดอนแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ก้าวแรกบนเส้นทางสายดนตรี: จากคนรอบผ้ากั้นสู่นักแสดงตลก การเริ่มต้นอาชีพในวงการดนตรีของบุญศรีนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาเริ่มจากการเป็นคนรอบผ้ากั้นคนดูให้กับวงดนตรีอำนวย กล่ำพัด โดยได้รับค่าแรงเพียงคืนละ 25 บาท ต่อมาเขาได้เลื่อนขั้นเป็นโฆษกประชาสัมพันธ์ให้กับวง ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น…
-
คุตีข้าว
ในการทำนาของภาคเหนือ เมื่อถึงฤดูเกี่ยวข้าว ก็ต้องมีการจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับเกี่ยวข้าว ตีข้าว และเก็บข้าวขึ้นยุ้งฉาง การในตีข้าวสามารถตีได้หลายวิธี ไม่ว่าจะทำตาราง โดยการนำขี้วัว มาทาบริเวณพื้นนา รอให้แห้งแล้ว เอาฟ่อนข้าวมาตีกับตารางได้เลย หรือจะใช้คุสำหรับตีข้าว ซึ่งคุสำหรับตีข้าวเป็นเครื่องจักสานขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้ไผ่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 – 2.50 เมตร สูงประมาณ 90-100 เซนติเมตร โดยจะนำคุไปวางที่ใกล้ ๆ กองข้าวที่เกี่ยวเรียบร้อยแล้ว โดยมีการปูเสื่อไม้ เรียกว่า “สาดกะลา” (เสื่อกะลา) สานด้วยผิวไม้บง มาปูไว้ด้านหนึ่งของคุ เพื่อรองรับเมล็ดข้าวที่กระเด็นออกจากคุ ตอนที่ยกฟ่อนข้าวขึ้น ในการใช้คุสำหรับตีข้าวต้องใช้ไม้หีบสำหรับหนีบข้าว ไม้หีบทำจากไม้เนื้อแข็งเกลาเป็นแท่งกลมขนาดพอมือ เจาะด้านบนเป็นรูเพื่อร้อยเชือก การเจาะรูไม้ข้างหนึ่งจะเจาะรูสูง อีกข้างเจาะรูปต่ำกว่า เกือบกลางลำไม้ ใช้บริเวณด้านบน หนีบกับฟ่อนข้าว ยกขึ้นแล้วตีกับคุตีข้าว คนตีต้องยืนชิดคุเพื่อจะได้ตีสะดวก และเอาฟ่อนข้าวตีกับ “หมง” ซึ่งเป็นก้นของคุที่มีลักษณะนูนขึ้นมา การตีข้าวกับคุ สามารถตีพร้อมกันได้ถึง 4 คน ใช้การสลับเข้าตีทางเดียว เพราะอีกด้านจะได้ปูสาดกะลาเพื่อรองรับเม็ดข้าวที่กระเด็นออกนอกคุ และข้าวที่ได้จะมีความสะอาด การเก็บข้าวเปลือกที่ตีเสร็จแล้วออกจากคุ ให้นำสาดกะลามาปูเป็นทางยาวชิดก้นคุ โดยให้ปูไปตามทิศทางลม…
-
การแฮกนาปลูกข้าว
สังคมไทยปลูกข้าวเพื่อการบริโภคมาตั้งแต่ยุคโบราณกาล เรียกได้ว่า ข้าวเป็นแหล่งอาหารที่หล่อเลี้ยงคนในสังคมไทย ดังนั้นการผลิตข้าวจึงเป็นสิ่งสำคัญในวิถีชีวิตของคนไทย การใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นจากปราชญ์ชาวบ้านที่มีอาชีพทำนารวมไปถึงการประกอบพิธีกรรมที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม ความเชื่อเกี่ยวกับข้าว สามารถใช้เป็นอุบายให้มนุษย์อยู่กับธรรมชาติได้อย่างเหมาะสมและสมดุลย์ พิธีกรรมการปลูกข้าวจึงถือกำเนิดขึ้น กลายเป็นวัฒนธรรมสืบเนื่องต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน อันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของผู้ที่ประกอบอาชีพการทำนา ประเพณีการทำนาของคนล้านนาในสมัยก่อน จะทำพิธีเคารพเจ้าที่เพื่อขออนุญาติเจ้าที่และสภาพแวดล้อมทั้งปวง โดยจะมีพิธีกรรม “แฮกนา” หรือแรกนา ซึ่งเป็นพิธีกรรมสำคัญพิธีกรรมหนึ่งทางด้านการเกษตรที่เกษตรกรจะทำก่อนช่วงฤดูทำนา (ก่อนทำนาปลูกข้าว) ในราวเดือนแปดเหนือหรือเดือนหกใต้ เพื่อบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง แม่โพสพ แม่ธรณี ที่จะเริ่มทำนา เพื่อให้ได้ผลผลิตดี ไม่มีอะไรมารบกวน ก่อนการแฮกนาตามความเชื่อจะมีการศึกษาตำราพญานาคในหนังสือปีใหม่สงกรานต์ของแต่ละปีว่าพญานาคหันหน้าไปทางทิศใด เพื่อดูว่าควรจะไถนาไปในทิศทางใด ซึ่งจะไม่ไถนาย้อนเกล็ดพญานาคเพราะมีความเชื่อว่าไม่เป็นมงคล เพราะผาลไถไปไถย้อนเกล็ดนาคผู้รักษาน้ำซึ่งการไถนาย้อนเกล็ดนาค เรียกกันว่า “ไถเสาะเกล็ดนาค” “ข้าวเชื้อ” หรือ ข้าวเจื้อ ส่วนข้าวที่จะนำมาเป็นพันธุ์ข้าวสำหรับหว่าน เรียกกันว่า “ข้าวเชื้อ” หรือ ข้าวเจื้อ ในภาษาเหนือนั่นเอง โดยนำมาล้างทำความสะอาดเพื่อเอาข้าวเปลือกลีบออกและแช่ข้าวเชื้อไว้ในน้ำ 3 วัน แล้วนำออกจากน้ำมาวางไว้บนบก 3 วัน ตามคำที่เรียกกันว่า “น้ำสาม บกสาม” เพื่อรอให้ข้าวเปลือกงอกราก จากนั้นจะทำการเฝือตีขี้ไถให้แตกหรือเรียกอีกอย่างว่าการไถนาให้ดินแตกออกจากกัน และนำน้ำเข้านาปรับดินหน้านาให้จมปริ่มน้ำเล็กน้อย แล้วทำการเต็กเปี๋ยงหรือการปรับหน้าดินให้เสมอกัน นำท่อนไม้อกนกมาครืดผิวหน้านาให้เป็นร่องเพื่อแบ่งเป็นแปลงรอการนำข้าวเปลือกพันธุ์หรือข้าวเชื้อมาหว่าน เมื่อครบกำหนดการแช่ข้าวพันธุ์แล้วจึงทำพิธีแฮกหว่าน…
-
วัดพระบาทตีนนก
วัดพระบาทตีนนก ตั้งอยู่เลขที่ 38 หมู่ 10 ตำบลหนองแหย่ง อำเภอสันทราย เชียงใหม่ 50210 ประวัติวัดพระบาทตีนนก วัดพระบาทตีนนก สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2415 นิกาย มหานิกาย มีเนื้อที่ 80 ไร่ เป็นวัดเก่าแก่ของ อ.สันทราย มีประวัติที่น่าศึกษาค้นคว้า ซึ่งพระครูบาศรีวิชัยเดินทางมาจำวัดพักค้างคืนและร่วมบูรณะอยู่ช่วงหนึ่ง ตั้งอยู่บนยอดเขาด้านหน้าเขื่อนแม่กวง พระพุทธรูปองค์ใหญ่ยกฐานขึ้นสูงมองเห็นอย่างเด่นชัดในระยะไกล ความเชื่อ ตำนานเชื่อว่าในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงระลึกอดีตชาติกาลครั้งหนึ่ง ได้เกิดเป็นนกยูงทองแล้วบินมาประทับรอยเท้าไว้บนก้อนหินศิลาแลงที่ยังอ่อนตัวอยู่ ตามความเชื่อที่เล่าขานกันมาจึงเรียกดอยนี้ว่า “ดอยพระบาทตีนนก” ตามภาษาท้องถิ่น และชอบบินมาหาอาหารกินที่ “หนองเหี้ยง” วันหนึ่งพรานป่าได้ไปพบนกยูงทองเข้า ทำให้อยากได้มาครอบครอง เพราะมีลักษณะที่สวยงาม แตกต่างจากนกยูงทั่วไป จึงได้กลับไปคั่วข้าวตอกในหมู่บ้าน ปัจจุบันเรียกว่า “บ้านทุ่งข้าวตอก” เพื่อนำข้าวตอกมาล่อพญานกยูงทอง โดยนำไปหว่านไว้ใกล้ๆ กับหนองเล็กๆ แห่งหนึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของภูเขาที่พญานกยูงทองอาศัยอยู่และทำบ่วงไปดักไว้ สถานที่ใช้บ่วงในปัจจุบันเรียกว่า “หนองก๊อง” แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายด้วยความฉลาดของนายพราน จึงนำนกยูงตัวเมียมาส่งเสียงล่อพญานกยูงทองได้สำเร็จ แต่ก็มิได้ทำอันตรายใดๆ และปล่อยนกยูงทองไปในที่สุด ต่อมามีชาวบ้านได้ขึ้นมาหาของป่าแล้วมาพบรอยเท้าพญานกยูงทองบนก้อนศิลาแลง ซึ่งแข็งตัวเป็นหินเรียบร้อยแล้ว จึงได้สร้างพระธาตุเจดีย์ครอบไว้และสร้างวัดขึ้นมา…
-
การฉลุลายสวยงาม สร้างตุงล้านนา เพื่อประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ
การฉลุลาย การฉลุลาย เป็นขั้นตอนแรกในการประดิษฐ์ตุงขึ้นมา โดยการฉลุเป็นวิธีหนึ่งในการทำให้เกิดลวดลายลงบนวัสดุ ต่าง ๆ เช่น กระดาษ ผ้า แผ่นไม้ แผ่นโลหะ โดยใช้เครื่องมือที่แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของวัสดุนั้น ๆ อย่างงานฉลุกระดาษและผ้าจะใช้สิ่วและค้อนในการตอกลงบนวัสดุให้เกิดลายสวยงาม ประวัติความเป็นมาของการฉลุลายไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรว่ามีที่มาอย่างไร เพียงแค่มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก่อนมีการฉลุลายในสมัยโบราณมีการตัดลายจากกระดาษตะกั่วด้วยกรรไกรเป็นวิธีการแรก เนื่องจากไม่มีเครื่องมือที่หลากหลายเหมือนในปัจจุบัน จึงใช้กรรไกรตัดลวดลายตามจินตนาการของแต่ละคน นอกจากนี้การตัดลายด้วยกรรไกรเป็นวิธีการที่ยังคงมีการใช้งานจนถึงปัจจุบัน ตุงล้านนา ตุงล้านนา เป็นเครื่องใช้ที่ใช้ในการประดับตกแต่งและใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆในวัฒนธรรมล้านนา เพื่อเป็นพุทธบูชา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อสืบชะตาให้ตนเอง ประวัติความเป็นมาของตุงล้านนา ความเชื่อของตุงล้านนา ประเภทของตุงล้านนา การแบ่งประเภทของตุงล้านนามักอ้างอิงตามพิธีกรรมที่จะใช้งานได้ 4 ประเภท ดังนี้ ข้อห้ามของตุงล้านนา ชาวล้านนาไม่นิยมนำตุงทุกประเภทมาแขวนไว้ในบ้าน ทำตุงเสร็จแล้วต้องนำไปถวายพระ เพราะส่วนใหญ่ตุงมีไว้เพื่อตัวเราในภายภาคหน้า และผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่สามารถนำไปแขวนไว้ที่ร้านอาหาร ร้านค้าทั่วไปได้ที่ผู้คนไม่อยู่อาศัย ความแตกต่างในอดีตและปัจจุบัน จากคำบอกเล่าของครูอัศวศิลป์ แผ่นชัยภูมิ ซึ่งเป็นครูภูมิปัญญาล้านนาที่มีความเชี่ยวชาญในการสืบสานวัฒนธรรม ได้กล่าวว่า ตุงในอดีตกับตุงในปัจจุบันยังคงมีความเหมือนกันมาก เนื่องจากท่านได้ทำการอนุกรักษ์ตุงล้านนาให้ใกล้เคียงกับสมัยก่อนมากที่สุด แต่ก็มีการประยุกต์วิธีการทำลวดลายด้วยการนำเครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาใช้มากขึ้น แต่ตุงที่ครูอัศวศิลป์เผยแพร่ยังคงใช้การตัดกระดาษด้วยกรรไกรอยู่ แต่เพิ่มการฉลุลายด้วยสิ่วเข้ามาด้วย การสืบสานวัฒนธรรม การสืบสานวัฒนธรรมของเชียงใหม่จะมีชั่วโมงเรียนการสืบสานภูมิปัญญาล้านนาของแต่ละโรงเรียนลงไปในหลักสูตรการเรียนการสอนด้วย แต่จะไม่จำกัดว่าเรียนเพียงแค่การประดิษฐ์ตุงล้านนาอย่างเดียว…
-
“ส่งเคราะห์” พิธีกรรมทางล้านนา ส่งสิ่งชั่วร้าย เพื่อให้อยู่สุขสบาย ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ และอันตรายทั้งปวง
พิธีกรรมของแต่ละพื้นที่ถึงแม้จะมีชื่อเรียกและใจความสำคัญเหมือนกัน แต่รายละเอียดต่าง ๆ มีความแตกต่างกันไปเล็กน้อยตามความเชื่อและความศรัทธาของแต่ละชุมชน รวมถึงคาถาในการส่งเคราะห์ก็แตกต่างกันไปตามตำราที่บุคคลศึกษามา พิธีกรรมส่งเคราะห์ เกิดจากการที่บุคคลถูกคนทำไม่ดีใส่ ประสบอุบัติเหตุ ค้าขายไม่ได้กำไร เจ็บป่วย อย่างมีสาเหตุหรือไม่มีสาเหตุก็ได้ ถือว่าบุคคลนั้นมีเคราะห์กรรมมากระทบ ต้องทำพิธีกรรมให้หายจาก โรคภัยไข้เจ็บ ไม่ให้มีเคราะห์ ให้อยู่สุขสบาย ช่วงเวลา ไม่มีการกำหนดวันในการทำพิธีตายตัว แต่จะทำก็ต่อเมื่อมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยและต้องการให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ไม่ให้มีเคราะห์มีหนาม โดยนิยมทำช่วงเช้า อุปกรณ์ 1. สะตวงที่ทำจากกาบกล้วย 1 อัน 2. ครัวห้า เช่น ข้าว 5 ก้อน กล้วย 5 ลูก อ้อย 5 อัน ส้ม 5 ผล น้ำ 5 ขวด และอาหารอย่างละ 5 ถ้วย (ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นอาหารชนิดไหน สามารถใช้ได้ทุกอย่าง) 3. เทียนเล็ก 5 เล่ม 4. เทียนใหญ่…
Got any book recommendations?