Sansai Discovery

Mindblown: a blog about philosophy.

  • “จอบตุ่ม” การถอดพิษด้วยไข่ไก่

    “จอบตุ่ม” การถอดพิษด้วยไข่ไก่

    การจอบตุ่มหรือความเชื่อต่าง ๆ ของผู้คนบางครั้งไม่สามารถที่จะไปหาต้นเหตุหรือความเป็นมาได้แล้ว จึงต้องอาศัยการมาเล่าสู่กันฟังจากคนที่เขาเคยทำ เคยได้ยินมาก่อน และความเชื่อของแต่ละคนมีความต่างกันนิดหน่อย บอกไม่ได้ว่าใครถูกใครผิด ถึงแม้จะอยู่ในอำเภอเดียวกัน การจอบตุ่ม เป็นพิธีกรรมหนึ่งที่ช่วยในการรักษาโรค โดยคำว่า “จอบ” หมายถึง ชักจูง หรือล่อให้ตาม ส่วนคำว่า “ตุ่ม” หมายถึง เม็ดที่เกิดขึ้นตามผิวหนัง ดังนั้น “การจอบตุ่ม” เป็นการล่อให้ตุ่มหรือพิษ ออกจากร่างกายเมื่อบุคคลนั้นไม่สบาย ไข้ไม่ยอมลด แม้จะให้ยากินแล้วก็ตาม ชาวบ้านเชื่อกันว่า อาจมีตุ่มลี้หรือตุ่มที่มีพิษซ่อนอยู่ในร่างกายแต่ไม่ปรากฏออกมาตามผิวหนัง จึงต้องทำพิธีการจอบตุ่ม ให้พิษต่าง ๆ ออกมา ด้วยการใช้เหรียญแถบเป็นตัวล่อ (สนั่น ธรรมธิ,2553) ภาพโดย : เพจ mgronline ช่วงเวลา ไม่มีช่วงเวลาที่แน่นอน โดยจะทำพิธีก็ต่อเมื่อมีผู้เจ็บป่วยต้องการให้คนทำพิธีรักษาให้ เนื่องจากรักษาด้วยทางการแพทย์แล้วยังคงมีอาการเจ็บป่วยอยู่ (สุรพล สุเทนะ, สัมภาษณ์, 30 มกราคม 2567) สถานที่ในการทำพิธี สถานที่ในการทำพิธีสามารถทำได้ทั้งบ้านของคนทำพิธีและบ้านของผู้ป่วยเองแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละคน (สุรพล สุเทนะ, สัมภาษณ์, 30 มกราคม…

  • “ความเชื่อกับภัยที่เกิดจากฝน” หนทางสู่การเอาชนะธรรมชาติ

    “ความเชื่อกับภัยที่เกิดจากฝน” หนทางสู่การเอาชนะธรรมชาติ

    ภัยที่เกิดจากฝน เป็นภัยที่มาจากการเกิดฝนตกหนักหรือฝนตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งกลายเป็นน้ำท่วม และน้ำท่วมฉับพลัน โดยเป็นภัยธรรมชาติที่สร้างความเสียหาย ความยากลำบากและความท้าทายที่ หลากหลายให้แก่ผู้คน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือนได้รับความเสียหาย ครอบครัวต้องไร้บ้านกลายเป็นผู้พลัดถิ่น สูญเสียทั้งทรัพย์สินเงิน ทอง ทำให้เกิดการรับมือกับภัยจากฝนด้วยการนำความเชื่อและพิธีกรรมต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง การรับมือกับภัยจากฝน สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 : การวางแผนรับมือกับภัยจากฝน ส่วนที่ 2 : การรับมือป้องกันภัยจากฝน ซึ่งสามารถใช้วิธีนี้ได้ทั้งช่วงที่ฝนยังไม่ตกและฝนตกแล้ว ภาพโดย : เพจ silpa-mag แหล่งที่มา ชยุตภัฎ คำมูล. (2567, มกราคม 23). ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สังกัดคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้. สัมภาษณ์

  •  “ความเชื่อกับภัยจากลมพายุ” ต่อต้านการเกิดมหัตภัยเลวร้าย

     “ความเชื่อกับภัยจากลมพายุ” ต่อต้านการเกิดมหัตภัยเลวร้าย

    ภัยจากลมพายุ เป็นภัยที่เกิดขึ้นจากพายุลมแรง จนทำให้เกิดความเสียหายแก่อาคารบ้านเรือน ต้นไม้ และสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเป็นอันตรายแก่ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ทำให้เกิดการพยายามต่อสู้เอาชนะภัยจาก ลมพายุ ถึงแม้ว่าจะสู้ไม่ได้เนื่องจากเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้นาน ผู้คนสามารถรับรู้ได้ ก่อนที่จะเกิดไม่กี่นาทีเท่านั้น จึงใช้ความเชื่อและพิธีกรรมต่าง ๆ เข้ามารับมือกับภัยจากลมพายุแทน การรับมือกับภัยจากลมพายุ สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 : การวางแผนรับมือกับภัยจากลมพายุ ส่วนที่ 2 : การเตรียมตัวรับมือกับภัยจากลมพายุ ช่วงที่มีการจัดงานสำคัญ ๆ มักจะมีลมพายุพัดแรงมาทำลายพิธีกรรมต่าง ๆ ผู้คนเชื่อว่ามีพญามารมาคอยขัดขวางไม่ให้พิธีสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ภาพโดย : เพจวัดอุปคุต ส่วนที่ 3 : การรับมือเมื่อทำพิธีป้องกันภัยจากลมพายุแล้ว แต่ยังเกิดขึ้นอยู่ ภัยจากลมพายุแตกต่างจากภัยอื่น ๆ ตรงที่เมื่อลมพายุเกิดขึ้นไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ ผู้คนสามารถรับรู้ได้ก่อนที่จะเกิดประมาณ 5 นาที และภัยที่เกิดจากลมพายุทุกคนต้องหาวิธีแก้ไขเฉพาะหน้าด้วยตัวเอง รวมถึงการนิยมทำขึดเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าอะไรที่จะเกิดพอขึดแล้วมันจะไม่เกิดไม่ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งดี ๆ หรือสิ่งไม่ก็ตาม ผู้คนจึงนำความเชื่อนี้ไปเป็นกลอุบายในการทำให้ลมพายุที่จะเกิดขึ้นกลับกลายเป็นไม่เกิด แหล่งที่มา ชยุตภัฎ คำมูล. (2567,…

  • ร่องรอยการต่อสู้กับธรรมชาติ “ความเชื่อเกี่ยวกับภัยแล้ง”

    ร่องรอยการต่อสู้กับธรรมชาติ “ความเชื่อเกี่ยวกับภัยแล้ง”

    ภัยแล้ง เป็นภัยที่เกิดจากการขาดแคลนน้ำในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นเวลานานจนก่อให้เกิดความแห้งแล้ง และส่งผลกระทบต่อชุมชน ซึ่งภัยแล้งเป็นภัยสำคัญอันดับต้น ๆ ของผู้คนในอดีต เพราะว่าชาวบ้านสมัยก่อนนิยมทำเกษตรกันเป็นอาชีพหลัก ภัยแล้งมาเยือนเมื่อไหร่ความลำบากเข้ามาหาแน่นอน ข้าวก็จะไม่มีกิน คนสมัยก่อนจึงคิดหาวิธีการรับมือกับภัยแล้งด้วยความเชื่อต่าง ๆ การรับมือกับภัยแล้ง สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่ 1 : การวางแผนรับมือกับภัยแล้ง เป็นการคาดการณ์ว่าแต่ละปีจะเกิดภัยแล้งมากน้อยเพียงใด ถึงแม้ว่าปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยและฟังจากกรมอุตุนิยมวิทยาได้ แต่คนสมัยก่อนเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้และไม่นิ่งนอนใจเรื่องภัยแล้งจึงมีการสังเกตแล้วก็สอนกันมาอย่างยาวนาน   ภาพโดย : เพจโอ.เค.บุ๊คสโตร์ ส่วนที่ 2 : การเตรียมตัวรับมือกับภัยแล้ง คนล้านนาในสมัยก่อนส่วนใหญ่นิยมทำนา ทำการเกษตรกันซึ่งชาวบ้านจะทำไร่ทำนาช่วงเดือน 10 ของภาคเหนือหรือเดือนกรกฎาคม โดยการนับเดือนของล้านนาจะนับแบบจันทรคติ ซึ่งจันทรคติของล้านนาจะเร็วกว่าจันทรคติของภาคกลาง 2 เดือน ในช่วงเดือน 9 ของภาคเหนือก่อนทำการเกษตรต้องมีการบวงสรวง กราบไว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่าง เพื่อป้องกันภัยแล้งและเพื่อให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล ภาพโดย : เพจไทยรัฐออนไลน์ ส่วนที่ 3 : การรับมือเมื่อทำพิธีป้องกันภัยแล้งแล้ว แต่ยังเกิดขึ้นอยู่ มอม (สัตว์ในป่าหิมพานต์) : ภาพโดย…

  • “ผีหม้อนึ่ง” ที่พึ่งทางใจของชาวล้านนา

    “ผีหม้อนึ่ง” ที่พึ่งทางใจของชาวล้านนา

    เรื่องราวของผีหม้อนึ่งที่ถูกเล่าผ่านมุมมองของผู้ที่เคยพบเห็นไม่ใช่ผู้สืบทอดโดยตรง ซึ่งเล่าเรื่องราวโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ชยุตภัฎ คำมูล เป็นอาจารย์สังกัดคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ที่ทำงานอยู่ภายในพื้นที่ของอำเภอสันทราย แต่อาจารย์มีความรู้เกี่ยวกับการลงผีหม้อนึ่งจากบ้านเกิดอำเภอแม่แตง ถึงแม้จะต่างอำเภอกัน มีจุดแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ใจความสำคัญเหมือนกัน และการแบ่งพื้นที่ทางวัฒนธรรมไม่มีการแบ่งที่ชัดเจนเหมือนกับการแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ รวมถึงเป็นการใช้วัฒนธรรมของชาวล้านนาร่วมกันอีกด้วย ผีหม้อนึ่ง คือ ผีชนิดหนึ่งที่อยู่ในจำพวกผีเรือนซึ่งสถิตอยู่กับหม้อที่ใช้นึ่งข้าว และเป็นความเชื่อที่เสมือนการเสี่ยงทายรูปแบบหนึ่งเพื่อช่วยเหลือผู้คนในกรณีที่วิทยาศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้ อย่างการเจ็บป่วยที่ไม่รู้สาเหตุ หรือ การเจ็บป่วยบ่อยเกินกว่าปกติ อุปกรณ์ในการลงผีหม้อนึ่ง 1. หม้อนึ่ง2. ไหข้าว3. ข้าวสารประมาณ 1 ลิตร4. กระด้งใส่ข้าวสาร5. เงิน ซึ่งแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกันไป อย่างของอำเภอแม่แตงจะใช้เงินจำนวน 22 บาท แต่ในหนังสือสารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคเหนือเขียนไว้ว่าใช้เงินจำนวน 13 สตางค์6. ดอกไม้ธูปเทียน7. เสื้อ 1 ตัว8. ไม้ที่ยาวประมาณ 2 ศอก สามารถนำสอดแขนเสื้อทั้งข้างซ้ายและข้างขวาได้ ภาพโดย : สมาคมคนเหนือ ภาพโดย : อักขณิช ศรีดารัตน์ ขั้นตอนในการทำพิธี 1. เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ มาทำพิธีที่บ้านของผู้ทำพิธี2.…

  • “ผีเสื้อบ้าน” ตำนานผีล้านนา ปกปักษ์รักษาดูแลหมู่บ้าน

    “ผีเสื้อบ้าน” ตำนานผีล้านนา ปกปักษ์รักษาดูแลหมู่บ้าน

    ผีเสื้อบ้าน คือ วิญญาณที่คอยปกป้องดูแลคนในหมู่บ้านซึ่งมีแทบจะทุกหมู่บ้าน โดยคำว่า “เสื้อ” ในภาษาล้านนา หมายถึงการปกป้อง คุ้มครอง เมื่อนำมารวมกับคำว่า “ผี” จะได้คำว่า “ผีเสื้อ” ที่ไม่ใช่แมลงมีปีก แต่มี ความหมายว่า ผีผู้ให้การปกป้องคุ้มครองซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับสถานที่ต่าง ๆ ผีเสื้อบ้านส่วนใหญ่จะไม่มีคนทรง ไม่มีชื่อประจำเสื้อบ้านเนื่องจากเสื้อบ้านเปรียบเสมือนเจ้าที่ในแต่ละหมู่บ้าน แต่เสื้อบ้านของหมู่บ้านทุ่งหมื่นน้อยมีหอเสื้อบ้านและเขียนชื่อติดไว้ และบริเวณที่ตั้งหอเสื้อบ้านแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน บางพื้นที่ตั้งหอเสื้อบ้านไว้ข้างถนนหรือบางพื้นที่ตั้งไว้ว่างท้ายหมู่บ้านแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละหมู่บ้าน เจ้าหน่อย กาบแก้ว : หอเสื้อบ้านชุมชนทุ่งหมื่นน้อย หอเสื้อบ้าน หอเสื้อบ้าน เป็นกะท่อมที่ทำไว้เพื่อเป็นที่สิงสถิตของพระภูมิเจ้าที่หรือดวงวิญญาณที่คอยรักษาบ้านเรือน ส่วนใหญ่ทำด้วยไม้ หลังขนาดไม่ใหญ่นักมีความกว้างประมาณ 1 ศอก ยาวประมาณ 2 ศอก สูงประมาณ 2 ศอก แต่บางแห่งก็มีขนาดใหญ่มาก สามารถอยู่ได้ 20-30 คน ในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนวัสดุในการสร้างหอเสื้อบ้านตามแล้วแต่หมู่บ้านจะสะดวกและการตั้งหอเสื้อบ้านจะตั้งในบริเวณที่ว่างของท้ายหมู่บ้านหรือสถานที่ที่คนในหมู่บ้านคิดว่าเหมาะสม ส่วนใหญ่จะเป็นที่เงียบสงบ ร่มครื้น มีต้นไม้ใหญ่หนาแน่น พ่อหมื่นคำก๋อง : หอเสื้อบ้านชุมชนทุ่งหมื่นน้อย สิ่งของที่มีอยู่บนหอเสื้อบ้าน 1. เสื้อ 1 ผืนปูเรียบร้อย…

  • “ประเพณีปอยหลวง” การเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของชาวล้านนา

    “ประเพณีปอยหลวง” การเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของชาวล้านนา

    คำว่า “ปอย” เป็นคำพื้นเมืองของภาคเหนือ หมายถึง งานฉลองรื่นเริง คำว่า “หลวง” หมายถึง ยิ่งใหญ่ ความเป็นมา สมัยพุทธกาลมีนางวิสาขามหาอุบาสิกา ได้สร้างวัดชื่อ “บุพพาราม” ถวายแก่พระพุทธเจ้า ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า วัดที่ประดิษฐานขึ้นมามีความงดงามมาก เมื่อสร้างเสร็จนางจึงจัดให้มีการเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่และสนุกสนาน รวมถึงนางวิสาขามหาอุบาสิกาได้พาลูกหลานมาฟ้อนรำรอบวิหาร ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้มีการจัดงานประเพณีปอยหลวงขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน ความสำคัญ ประเพณีปอยหลวง เป็นการเฉลิมฉลองถาวรวัตถุของวัดหรือสิ่งก่อสร้างที่ผู้คนช่วยกันประดิษฐานขึ้นมาเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะ และเพื่อให้เกิดอานิสงส์แก่ตนเองและครอบครัวถือว่าได้บุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องแสดงถึงความสามัคคีกลมเกลียวของคณะสงฆ์และชาวบ้าน ไม่เพียงแค่มีการฉลองที่ยิ่งใหญ่แต่ยังมีการจัดงานประเพณีปอยหลวงที่นิยมทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้พ่อแม่ปู่ย่าตายาย หรือญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ได้จากการจัดงานประเพณีปอยหลวงก็คือการแสดงความชื่นชม ยินดีร่วมกันและสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินให้แก่คนในท้องถิ่นด้วยการจัดมหรสพ เช่น หนังใหญ่ ลิเก โนรา และการฟ้อนรำ (ยุพา พลสามารถ, 2557) ช่วงเวลาในการจัดประเพณีปอยหลวง ประเพณีปอยหลวงมักจัดในช่วงฤดูหนาวระหว่างเดือนยี่จนถึงเดือนหกของภาคเหนือ ซึ่งตรงกับเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคมของภาคกลาง (พระครูจันทสรการ, สัมภาษณ์, 19 มกราคม 2567) ขั้นตอนในการจัดงานประเพณีปอยหลวง 1. วัดที่ต้องการจัดงานประเพณีปอยหลวงจะต้องมีการก่อสร้างถาวรวัตถุ เช่น โบสถ์ วิหาร กุฏิสงฆ์ เจดีย์ที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งหลักเกณฑ์นี้ขึ้นอยู่กับความเจริญของแต่ละพื้นที่…

  • “ตั้งธรรมหลวง” เทศน์มหาชาติ ฟังธรรมครั้งยิ่งใหญ่

    “ตั้งธรรมหลวง” เทศน์มหาชาติ ฟังธรรมครั้งยิ่งใหญ่

    ตั้งธรรมหลวง หมายถึง การเทศน์ธรรมชาดกที่ยาวกว่าเรื่องอื่น ๆ และเป็นการฟังเทศน์ครั้งใหญ่ มีคนมาร่วมฟังเทศน์กันเป็นจำนวนมาก ซึ่งการฟังเทศน์ครั้งใหญ่มีทั้งการฟังเทศน์แบบธรรมวัตรและฟังมหาเวสสันดรด้วย (ปณิตา สระวาสี, 2559) รูปแบบการตั้งธรรมหลวง มี 2 แบบ (ปณิตา สระวาสี, 2559) ดังนี้ วัตถุประสงค์ ช่วงเวลาในการตั้งธรรมหลวง การตั้งธรรมหลวงส่วนใหญ่จะจัดในช่วงเดือนยี่เป็งหรือวันลอยกระทง และมีการจัดในช่วงเดือนสี่เป็ง นอกจากนี้ยังมีการตั้งธรรมฟังเทศน์มหาชาติในกรณีพิเศษ คือ การฉลองพระชนมพรรษต่าง ๆ และวาระโอกาสสำคัญของแต่ละสถานที่ การตั้งธรรมหลวงของวัดทุ่งหมื่นน้อย วัดทุ่งหมื่นน้อยมีการตั้งธรรมหลวงช่วงสิ้นปีเป็นการรวมเข้าด้วยกันกับการจัดสวดมนต์ข้ามปี แต่การตั้งธรรมหลวงมีตั้งแต่เช้า เพื่อดึงญาติโยมให้อยู่วัดทั้งวัน การตั้งธรรมหลวงจัดขึ้นแต่ละครั้งนั้นยาก เพราะต้องใช้ความสมัครสมานสามัคคีและความพร้อมในหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถานที่ ซึ่งการตั้งธรรมหลวงของวัดทุ่งหมื่นน้อยถือว่าเป็นการสืบชะตาอายุตามแต่ละปีนักกษัตร โดยจะมีการเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์ แต่ปีนักกษัตรมีเพียง 12 ปีเท่านั้น จึงจัดให้การเทศน์มหาชาติกัณฑ์ที่ 13 เป็นการชุมนุมรวมชะตาทุกปีเกิด รวมทั้งมีการจำลองเขาวงกต ซึ่งเป็นเรื่องราวตอนหนึ่งในมหาเวสสันดรชาดกตอนที่ พระเวสสันดรออกจากเมืองไปบำเพ็ญบารมีในป่าเขาวงกต เด็ก ๆ ที่มาวัดได้มาเล่นเขาวงกตนี้ก็จะรู้สึกสนุกสนานไปด้วย (พระครูจันทสรการ, สัมภาษณ์, 19 มกราคม…

  • “ตานข้าวใหม่” ประเพณีหลังฤดูเก็บเกี่ยว ระลึกถึงบุญคุณคน

    “ตานข้าวใหม่” ประเพณีหลังฤดูเก็บเกี่ยว ระลึกถึงบุญคุณคน

    ประเพณีตานข้าวใหม่ เป็นประเพณีที่เกี่ยวข้องกับประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้า เมื่อชาวบ้านได้ยินสัญญานที่เกิดจากไม้ที่ระเบิดที่เกิดจากการทำหลัวหิงไฟพระเจ้า ก็จะนำข้าวใหม่หลังการเก็บเกี่ยวไปทำบุญที่วัด ความเป็นมา ความเป็นมาของประเพณีตานข้าวใหม่มีหลากหลายเรื่องราวที่ถูกบอกเล่าต่อ ๆ กันมามีทั้งความคล้ายคลึงกันและแตกต่างกันบางส่วน ขึ้นอยู่กับความเชื่อและมุมมองของบุคคลที่มีต่อประเพณี ถึงแม้ว่าจะเป็นประเพณีที่เกิดขึ้นในภูมิภาคเดียวกัน ดังนี้ ช่วงเวลาในการจัดประเพณี ประเพณีตานข้าวใหม่นิยมจัดในช่วงเดือนสี่เป็งของภาคเหนือ หรืออยู่ในช่วงประมาณปลายเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมกราคม ซึ่งในปี 2567 ตรงกับวันที่ 27 มกราคม เช่นเดียวกับประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้า ขั้นตอนในงานประเพณีตานข้าวใหม่ ประเพณีตานข้าวใหม่มีความเกี่ยวข้องกับประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้า เนื่องจากชาวบ้านได้ยินเสียงระเบิดที่เกิดจากการทำหลัวหิงไฟพระเจ้าเป็นการส่งสัญญาณให้ชาวบ้านมาทำบุญที่วัด โดยหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จเรียบร้อยจะนำข้าวเปลือกไปเก็บไว้ในยุ้งข้าว แล้วนำข้าวเหล่านั้นไปนึ่งให้สุก และจัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ มาเพื่อถวายพระสงฆ์ หลังจากถวายเสร็จจะมีการรับศีล รับพร และกรวดน้ำ (รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี, 2563; สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่, 2565) การสืบสานประเพณีให้ยังคงอยู่ต่อไป ประเพณีตานข้าวใหม่จะยังคงอยู่เพียงแค่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ถึงแม้ว่าประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้าที่มีความเกี่ยวข้องกันกำลังจะสูญหายไปโดยประเพณีนี้ผู้คนจะนำข้าวเปลือกที่ตนเองได้จากการทำไร่ทำนามาถวายพระ แต่ในปัจจุบันผู้คนทำเกษตร ปลูกข้าวกันน้อยลงจึงมีการปรับเปลี่ยนจากการนำข้าวเปลือกข้าวสารที่ปลูกด้วยตนเองเป็นการซื้อข้าวเปลือกข้าวสารจากร้านค้าแทน และการจัดประเพณีนี้จะยังจัดในช่วงเดือน 4 เป็งอยู่ แต่บางคนจะถวายข้าวเปลือกก่อนจะถึงเดือน 4 เป็ง แล้วแต่ความสะดวกของผู้คนในปัจจุบัน (นพดล พิมาสน, สัมภาษณ์, 17 มกราคม 2567) แหล่งที่มา…

  • “ตานหลัวหิงไฟพระเจ้า” ประเพณีที่มอบความอบอุ่นในเดือนสี่เป็ง

    “ตานหลัวหิงไฟพระเจ้า” ประเพณีที่มอบความอบอุ่นในเดือนสี่เป็ง

    “ตาน” คือ ถวาย,ทาน “หลัว” คือ ฟืนที่นำมาเป็นเชื้อก่อไฟ “หิง” คือ การผิงไฟ,การก่อไฟ “พระเจ้า” คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเป็นมา ความเป็นมาของประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้ามีความสอดคล้องกับบริบททางสภาพแวดล้อม เนื่องจากเป็นพื้นที่ ๆ มีอากาศหนาวจัดมาก มีป่าไม้ที่อุดสมบูรณ์ ต้นไม้ขึ้นหนาแน่น และมีความชื้นสูง นอกจากนี้ชาวบ้านนิยมไปทำบุญตักบาตรช่วงเช้าที่มีอากาศหนาวเย็น ผู้คนในสมัยก่อนจึงมีการคิดหากุศโลบายว่า ให้ชาวบ้านเอาไม้ไปคนละวา เพื่อนำไปทำหลัวหิงไฟพระเจ้า เพราะกลัวว่าพระพุทธรูปที่อยู่ในวัดจะหนาว แต่ความจริงก่อไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่พระสงฆ์ และชาวบ้านที่ไปทำบุญ ด้วยเหตุที่ว่าในสมัยก่อนไม่มีเครื่องนุ่งห่มที่สามารถป้องกันความหนาวเย็นได้เท่ากับปัจจุบัน (นพดล พิมาสน, สัมภาษณ์, 17 มกราคม 2567) ความเชื่อ ช่วงเวลา ประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้านิยมจัดในช่วงเดือนสี่เป็งของภาคเหนือ หรืออยู่ในช่วงประมาณปลายเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมกราคม ซึ่งในปี 2567 ตรงกับวันที่ 27 มกราคม และ 1 ปีมีการจัดเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น โดยกองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เคยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2563 แต่ในปีต่อ…

Got any book recommendations?