"ตาน" คือ ถวาย,ทาน "หลัว" คือ ฟืนที่นำมาเป็นเชื้อก่อไฟ "หิง" คือ การผิงไฟ,การก่อไฟ "พระเจ้า" คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ความเป็นมา
ความเป็นมาของประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้ามีความสอดคล้องกับบริบททางสภาพแวดล้อม เนื่องจากเป็นพื้นที่ ๆ มีอากาศหนาวจัดมาก มีป่าไม้ที่อุดสมบูรณ์ ต้นไม้ขึ้นหนาแน่น และมีความชื้นสูง นอกจากนี้ชาวบ้านนิยมไปทำบุญตักบาตรช่วงเช้าที่มีอากาศหนาวเย็น ผู้คนในสมัยก่อนจึงมีการคิดหากุศโลบายว่า ให้ชาวบ้านเอาไม้ไปคนละวา เพื่อนำไปทำหลัวหิงไฟพระเจ้า เพราะกลัวว่าพระพุทธรูปที่อยู่ในวัดจะหนาว แต่ความจริงก่อไฟเพื่อให้ความอบอุ่นแก่พระสงฆ์ และชาวบ้านที่ไปทำบุญ ด้วยเหตุที่ว่าในสมัยก่อนไม่มีเครื่องนุ่งห่มที่สามารถป้องกันความหนาวเย็นได้เท่ากับปัจจุบัน (นพดล พิมาสน, สัมภาษณ์, 17 มกราคม 2567)
ความเชื่อ
- เชื่อว่าพระพุทธเจ้ายังไม่นิพพานจึงกลัวว่าพระพุทธเจ้าจะหนาว ทำให้เกิดการก่อไฟเพื่อให้ความอบอุ่น
- เชื่อว่าการทำหลัวหิงไฟพระเจ้าจะช่วยสร้างสัญญานในการตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารและสังฆทาน ตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะมาวัดให้พร้อมเพียงกัน
- เชื่อว่าการทำหลัวหิงไฟพระเจ้าต้องการให้ประชาชนที่มีใจศรัทธามาทำบุญที่วัดได้รับความอบอุ่นจากไฟ เพื่อคลายความหนาว
ช่วงเวลา
ประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้านิยมจัดในช่วงเดือนสี่เป็งของภาคเหนือ หรืออยู่ในช่วงประมาณปลายเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมกราคม ซึ่งในปี 2567 ตรงกับวันที่ 27 มกราคม และ 1 ปีมีการจัดเพียงแค่ 1 ครั้งเท่านั้น โดยกองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เคยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2563 แต่ในปีต่อ ๆ มา จนถึงปี 2567 ไม่มีการจัดประเพณีขึ้น เนื่องจากการเผาฟืนจะส่งผลกระทบให้เกิดมลพิษทางอากาศ (นพดล พิมาสน, สัมภาษณ์, 17 มกราคม 2567)
สถานที่ในการจัดประเพณี
ส่วนใหญ่ประเพณีนี้จัดที่วัด โดยมีการนำไม้ฟืนที่ชาวบ้านนำมาถวายพร้อมขันดอก ไปถวายให้พระประธานในวิหาร และนำมาจุดบริเวณหน้าวิหาร
วิธีการทำหลัวหิงไฟพระเจ้า
1. ชาวบ้านจะไปตัดไม้จี้หรือไม้คนทาให้มีความยาวของไม้ 1 วา หรือเท่ากับความสูงของคนที่ตัดไม้
2. นำไม้ที่ตัดได้มากองรวมกันไว้ที่ลานกว้าง แล้วลอกเอาเปลือกไม้ที่มีหนามออก
3. ต่อมาเอาไม้มามัดรวมกันให้เท่ากับพระชนมายุของพระพุทธเจ้า 80 พรรษา หรือมากกว่านั้นแล้วแต่กำลังศรัทธาของแต่ละหมู่บ้าน
4. จากนั้นช่วยกันแบกหามเข้าวัด นำไปวางไว้บริเวณลานข้างวิหารหรือบริเวณตรงหน้าพระประธาน
5. จัดการนำกองไม้มาทำเป็นรูปกระโจมแบบอินเดียแดง
6. ใส่สะโปกหรือไม้ประทัดสอดเข้าไปข้างใน เมื่อไม้ชนิดนี้ติดไฟจะมีเสียงดังไปไกล เป็นสัญญานให้ชาวบ้านลุกขึ้นมาจัดเตรียมข้าวปลาอาหารต่าง ๆ เพื่อนำมาทำบุญที่วัด
![](https://archives.mju.ac.th/ssd/wp-content/uploads/2024/02/81679650_2436755743102504_7398092931275423744_n.jpg)
![](https://archives.mju.ac.th/ssd/wp-content/uploads/2024/02/1672970704_998462-chiangmainews.jpg)
ภาพโดย: เพจข่าวด่วนจอมทอง รักคุณ
ภาพโดย: เพจเชียงใหม่นิวส์
ขั้นตอนในงานประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้า
1. ชาวบ้านเตรียมพานข้าว ดอกไม้ ธูป เทียน ฟืนยาว 1 วาหรือเท่ากับความสูงของตนเองจำนวน 1 มัด และภัตตาหารถวายแก่พระสงฆ์
2. ไหว้พระรับศีลรับพรจากพระสงฆ์ และกล่าวคำถวายที่เกี่ยวกับการบูชาพระรัตนตรัย การถวายทานและการสร้างกุศล
3. นำฟืนไปประเคนหน้าพระประธานในวิหาร หรือบางแห่งใช้กรวยดอกไม้ไปประเคนหน้าพระสงฆ์เพื่อเป็นการสักการะ
4. ในเวลาประมาณ 04.00 – 05.00 น. เริ่มจุดกองไฟหรือกองฟืน โดยเจ้าอาวาสเป็นผู้เริ่มจุดไฟพร้อมกับการตีฆ้อง 3 ครั้ง เพื่อให้ชาวบ้านได้ทราบและร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกัน
![](https://archives.mju.ac.th/ssd/wp-content/uploads/2024/02/pexels-photo-1629159-1024x681.jpeg)
ไม้ที่นิยมใช้ในการทำหลัวหิงไฟพระเจ้า
ไม้ที่นิยมนำไปทำหลัวหิงไฟพระเจ้า คือ “ไม้จี้” หรือภาษากลางเรียกว่า “ไม้คนทา” เป็นไม้ประเภทหนึ่งที่มีหนาม เนื้อไม้สีขาว สามารถติดไฟได้ง่ายซึ่งชาวบ้านจะนำกิ่งไม้จี้มาคนละวา หรือเท่ากับส่วนสูงของบุคคลที่ไปหาไม้มา และสมัยก่อนแต่ละบ้านจะมีไม้จี้เป็นจำนวนมาก ในสมัยนี้ยังมีอยู่บ้าง แต่ต้องไปหาในป่า (นพดล พิมาสน, สัมภาษณ์, 17 มมกราคม 2567)
ข้อห้าม!!
- ห้ามใช้ไม้ที่มีรสเผ็ด รสเปรี้ยว หรือมีกลิ่นเหม็นเด็ดขาด
- ห้ามถวายดอกใหม่ หรือดอกชบา เพราะมีตำนานเกี่ยวกับความรักของพระนางจามเทวีที่มีต่อขุนหลวงวิลังคะ โดยสมัยก่อนดอกไม้ชนิดนี้มีสีอื่น แต่พระนางจามเทวีเอาไปลงคาถาจนกลายเป็นสีแดง แล้วนำไปให้ขุนหลวงวิลังคะแต่ท่านนำไปทัดหู คาถาอาคมที่ลงไว้ในดอกไม้เกิดเสื่อมสลายไป ซึ่งดอกไม้ชนิดนี้มีความรักและคุณไสยเข้ามาเกี่ยวข้องจึงไม่เหมาะสมในการนำไปถวายพระ
ความสำคัญของประเพณีที่มีต่อคนในชุมชน
ประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้ามีความสำคัญต่อคนในชุมชน คือ ทำให้คนในชุมชนมารวมตัวกัน และเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของผู้คนภายในชุมชน
มุมมองของบุคคลเกี่ยวกับประเพณี
- มุมมองของนายนพดล พิมาสน ประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้ากำลังจะสูญหายไป เนื่องจากประเพณีมีการเผาไฟ ซึ่งจะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ รวมถึงผู้คนในสมัยนี้เข้าวัดกันน้อยลงไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่หรือคนเฒ่าคนแก่ และหาคนสืบสานประเพณีนี้ได้ยาก เพราะแต่ละคนมีภาระหน้าที่ของตนเอง
- มุมมองของพระครูจันทสรการ เจ้าอาวาสวัดทุ่งหมื่นน้อย ในสมัยก่อนช่วงสี่เป็งยังมีการจัดงานประเพณีตานหลัวหิงไฟพระเจ้า แต่ในสมัยนี้ที่วัดทุ่งหมื่นน้อยไม่มีการจัดประเพณีนี้แล้ว เพราะว่าต้องการรณรงค์ให้ลดการเผาไหม้สิ่งต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดผลเสียทางอากาศ ซึ่งส่วนใหญ่วัดแถวนอกเมืองจะยังมีการจัดอยู่ อย่างอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ และแนวคิดในการหาสัญลักษณ์ต่าง ๆ มาแทนการหลัวหิงไฟ เพื่อให้ประเพณียังคงสืบทอดต่อไป ตอนนี้ยังไม่พบเห็น
ความรู้เพิ่มเติม
- ไม้จี้ หรือไม้คนทา(ภาคกลาง) เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื่อย สูงประมาณ 3-6 เมตร ลำต้นมีหนามแหลมสั้น ลักษณะของใบเป็นแบบแขนง เรียงสลับกัน ก้านและแกนใบแผ่ขยายออกเป็นปีกแคบ ๆ ใบย่อยมี 1-15 ใบ รูปวงรีหรือรูปไข่ ส่วนของดอกด้านนอกเป็นสีแดงแกมม่วง ด้านในเป็นสีนวล ออกดออกเป็นช่อ รากของไม้จี้ใช้เป็นส่วนผสมในการทำยารักษาโรคแก้ท้องร่วง แก้โรคลำไส้ แก้ไข้พิษต่าง ๆ สามารถพบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย แต่จะขึ้นตามพื้นที่ดอน ป่าเชิงเขา (กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก, ม.ป.ป.)
![](https://archives.mju.ac.th/ssd/wp-content/uploads/2024/02/คนทา1-1.jpg)
![](https://archives.mju.ac.th/ssd/wp-content/uploads/2024/02/ลำต้นคนทา.jpg)
![](https://archives.mju.ac.th/ssd/wp-content/uploads/2024/02/ใบคนทา.jpg)
แหล่งที่มา
นพดล พิมาสน. (2567, มกราคม 17). ผู้ปฎิบัติงานเกษตร งานอำนวยการ กองส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม สำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้. สัมภาษณ์
พระครูจันทสรการ. (2567, มกราคม 19). เจ้าอาวาสวัดทุ่งหมื่นน้อย ตำบลหนองหาร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่. สัมภาษณ์
มณี พยอมยงค์. (2547). ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 5 ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม). ส.ทรัพย์การพิมพ์.